User ยินดีต้อนรับ ผู้มาเยี่ยม
   

ให้บริการเช่ารถตู้ พร้อมคนขับ สำหรับ : ท่องเที่ยว ประชุม สัมมนา ตีกอล์ฟ รับ-ส่ง แบบรายวัน วิ่งงานประจำ
บริการเช่ารถตู้เอ็นจีวี เป็นรถตู้รุ่นใหม่ รุ่น VVT-I สามารถใช้ได้ทั้งระบบก๊าซเอ็นจีวี และระบบน้ำมัน
ที่ได้รับมาตรฐานจากศูนย์เอ็นจีวีคาร์เซ็นเตอร์ ความปลอดภัยดีเยี่ยม
เป็นรถประหยัดเชื้อเพลิง เพียง กม.ละ 1 บาท เท่านั้น ภายในรถตู้กว้าง พร้อมเครื่องเสียง ทีวี แอร์เย็นฉ่ำ
จองที่พักปาย
จองที่พักปาย
โต๊ะจีนนครปฐม โต๊ะจีนดี คุณภาพอาหารเยี่ยม ไมตรีโภชนา
โต๊ะจีนนครปฐม โต๊ะจีนดี คุณภาพอาหารเยี่ยม ไมตรีโภชนา
  NewTopic NewReply
 Topic เมืองแห่งสายหมอก ดินแดนแห่งขุนเขา
User anna (Administrator)
เป็นสมาชิกเมื่อ : 18/3/2552
โพสต์ : 83
 
Vcard 31 พฤษภาคม 2552 - 02:12:44 น.  
DotE
Attach ไฟล์ที่แนบมาด้วย
ชื่อแฟ้มข้อมูล : gawgomol002.gif (ขนาด 78.08KB ) Doenload Download
ทัวร์แม่ฮ่องสอน ทัวร์ปาย ป่างอุ๋ง ปาย ห้วยน้ำดัง กะเหรี่ยงคอยาว ถ้ำแก้วโกมล หมู่บ้านรักไทย ภูโคลน ถ้ำลอด โป่งเดือด 3 วัน 4 คืน 5,500 บาท 
เมืองแห่งสายหมอก ดินแดนแห่งขุนเขา
ความสวยงามที่ยังชวนให้ผู้คนหลั่งไหลเข้าไปสัมผัสกับสิ่งสวยงามเหล่านี้ ที่มีอยู่ในประเทศไทยที่ จ.แม่ฮ่องสอน การเดินทางของผมเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งช่วงต้นปีใหม่ ผมจึงไม่อาจที่จะปล่อยโอกาสที่ป้อมปี่หยิบยื่นมาให้หลุดลอยไป เมื่อรู้ว่าจะได้ไปเยือน จ.แม่ฮ่องสอน การเดินทางในทริปนี้ของผมเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน เมื่อทราบจากป้อมปี่ว่า กรุ๊ปทัวร์ที่จะเดินทางไป จ.แม่ฮ่องสอน ยังมีที่ว่างด้านหลังอยู่ 1 ที่ พอที่จะให้ผมได้เดินทางไปด้วยในทริปนี้ จากนั้นไม่นานผมก็แพ็คกระเป๋าแล้วไปรอป้อมปี่ที่สายใต้ใหม่ตามสถานที่นัดหมาย เมื่อถึงเวลา 17.00 น. ป้อมปี่พร้อมด้วยรถคอมมูเตอร์รุ่นใหม่ และคนขับรถก็มาถึง ผมเก็บกระเป๋าไว้หลังรถ จากนั้นก็ออกเดินทางไปรับลูกทัวร์ที่จุดนัดพบ แล้วก็ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ในเวลาประมาณ 19.00 น. คืนนั้นก็หลับ ๆ ตื่น ๆ แล้วก็ไปเช้าที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ตอนประมาณ 06.00 น. แต่ท้องฟ้ายังมืดอยู่เลย แถมอากาศหนาวมาก ๆ แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้เข้าไปต้องรอจนฟ้าสางเสียก่อน แต่ก็ยังดีที่เจ้าหน้าที่อนญาตให้เข้าไปทำธุระส่วนตัวที่ห้องน้ำภายในอุทยานแห่งชาติออบหลวงได้ เมื่อฟ้าสางผมก็เดินชมความมหัศจรรย์ ที่เขาบอกว่าเป็น Unseen in Thailand แห่งหนึ่งของเมืองไทย เมื่อเดินเข้าไปเราก็พบกับลำน้ำอันเชี่ยวกรากไหลคดเคี้ยวไปตามทางผ่านช่องเขาแคบ ๆ ที่เรียกว่าออบหลวง คำว่าออบหรือ อ๊อบหมายถึง ช่องแคบ ส่วนคำว่า หลวงหมายถึง ใหญ่ ออบหลวงคือชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกช่องเขาขาด ซึ่งเป็นผาหินขนาดสูงใหญ่ เบื้องล่างมีแม่น้ำแม่แจ่มไหลผ่าน มีความลึกของหุบเหวจากระดับถนน 108 ถึงระดับน้ำปกติประมาณ 50 เมตร ส่วนแคบสุด 2 เมตร ความยาวของช่องแคบประมาณ 300 เมตร เมื่อเราเก็บรูปและอิ่มเอมกับความประทับใจก็ออกมากินข้าวต้ม และกาแฟ มื้อเช้าที่ร้านหน้าอุทยานฯ





จากนั้นไม่นานป้อมปี่ก็พาพวกเราไปยังสวนสนบ่อแก้ว ซึ่งอยู่ห่างจากอุทยาแห่งชาติออบหลวง 20 กม. เป็นสวนสนสามใบปลูกติดอยู่บริเวณริมถนน โดยปลูกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ สลับกับแสงแดดยามเช้าที่ทอแสงรอดทิวสน ทำให้ผู้ที่พบเห็นอดไม่ได้ที่จะเก็บภาพอันงดงามนี้ไว้


ประมาณ 10.00 น. พวกเราก็ออกเดินทางต่อไปยัง ถ้ำแก้วโกมล ซึ่งเป็นอีก Unseen in Thailand อีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย ถ้ำแก้วโกมล เป็นถ้ำที่ถูกค้นพบด้วยความบังเอิญโดยวิศวกรชาวไทย ภายในถ้ำจะมีผลึกแร่แคลไซค์ที่มีลักษณะคล้ายเกล็ดหิมะ เมื่อเดินทางไปถึงพวกเราต้องเปลี่ยนพาหนะในการเดินทาง จากรถตู้เป็นรถกระบะแบบสองแถว เนื่องจากเส้นทางที่ใช้เดินทางค่อนข้างแคบและสลับกับทางขึ้น-ลงที่ชัน จึงจำเป็นต้องใช้รถพื้นที่ เมื่อไปถึงแล้วก็ต้องรอเข้าถ้ำแก้วโกมลรอบ10-15 คน เนื่องจากอากาศภายในถ้ำจะร้อน และเดินทางเดินภายในถ้ำจะแคบ และชันอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อผลึกแก้วและเกิดอันตรายได้ เราใช้เวลาเข้าชมที่ถ้ำประมาณ 20 นาที ก็ออกมาขึ้นรถสองแถวและเดินทางไปขึ้นรถตู้ที่รอรับอยู่ที่ศูนย์บริการ




จากนั้นก็ออกเดินทางต่ไปยังดอยแม่อูคอ เพื่อชมทุ่งดอกบัวตัวที่เหลืองอร่ามไปทั้งดอย แต่ระหว่างทางก็แวะกินข้าวเที่ยงก่อน เป็นร้านอาหารที่ทางป้อมปี่จองไว้แล้ว จำได้ว่าไม่มีชื่อร้านเพราะเป็นร้านอาหารแบบพื้นบ้าน แต่รสชาตอาหารสุดยอดไปเลย เมื่ออิ่มแล้วป้อมปี่ก็พาพวกเราออกเดินทางต่อไปยังดอยแม่อูคอ เพื่อชมทุ่งดอกบัวตองทันที ดอยแม่อู่คอมีพื้นที่ครอบคลุมเป็นเขากว้างประมาณ 1 พันไร่ อยู่ในความรับผิดชอบของโครงการพัฒนาป่าไม้ที่สูง หน่วยที่ 5 กองอนุรักษ์ต้นน้ำ ่ทางขึ้นดอยค่อนข้างชันและคดเคี้ยวไปตามภูเขาต้องระมัดระวังในการขับขี่ เมื่อไปถึงดอยก็ไม่ผิดหวัง เมื่อเห็นภูเขาที่เหลืองอร่ามเต็มไปด้วยดอกบัวตอง ถูกใจ๊ถูกใจที่ได้มาเยือน





ป้อมปี่ให้พวกเรานั่งชมวิว กินบรรยากาศจนอิ่มอกอิ่มใจ ก็พาพวกเราออกเดินทางไปยังวัดพระธาตุดอยกองมูต่อ วัดพระธาตุดอยกองมูนี้ แต่เดิมมีชื่อเรียกว่า วัดปลายดอย เป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญ ประกอบด้วยพระธาตุเจดีย์ที่สวยงาม 2 องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่สร้างโดย จองต่องสู่ เมื่อ พ.ศ. 2403 เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระ ซึ่งนำมาจากประเทศพม่า ส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อ พ.ศ. 2417 โดย พระยาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก จนเวลาประมาณ 17.00 น. กว่า ๆ เห็นจะได้ พวกเราก็ได้นมัสการพระธาตุดอยกองมู จากนั้นก็นั่งชมเมืองแม่ฮ่องสอน ณ จุดนี้ ซึ่งสามารถมองเห็นเมืองแม่ฮ่องสอนได้อย่างชัดเจนและงดงามนัก




จากนั้นป้อมปี่ก็พาเดินทางเข้าสูที่พักโกเด้นฮัทรีสอร์ท พวกเรารีบอาบน้ำทันทีเพราะอากาศเริ่มเย็นทุกขณะ จากนั้นป้อมปี่ก็พาไปรับประทานอาหารมื้อค่ำ ที่ร้านอาหาใบเฟิร์น ตอน17.30 น. ซึ่งอยู่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน จากนั้นพวกเราก็เดินชมตลาดยามค่ำของแม่ฮ่องสอนต่อทันที ที่มีร้านหาบเร่ และแผงลอยตั้งขนานตามถนนไปจนถึงวัดจองคำและวัดจองกลาง ส่วนมากของที่ขายจะเป็นเสื้อผ้า ของกิน และของที่ระลึก จากนั้นพวกเราก็เข้านมัสการเจดีย์ที่วัดจองคำและวัดจองกลาง ซึ่งสองวัดนี้จะอยู่ติดกันจนผู้คนโดยทั่วไปเรียกว่า วัดแฝด จากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับสู่ที่พัก เพราะรุ่งเช้าของวันรุ่งขึ้นต้องตื่นตั้งแต่รุ่งเช้า




05.00 น. นาฬิกาปลุกก็ดังขึ้น พวกเราเตรียมตัวและออกมารอป้อมปี่ที่หน้ารีสอร์ทเพื่อเดินทางไปสู่ดินที่สุดแสนโรแมนติค หรือสวสิเซอร์แลนด์เมืองไทย ก็ปางอุ๋งหรือโครงการพระราชดำริปางตอง 2 ไงหละ มีรถตู้สองคันหน้าไม่กว้างมาจอดรอรับพวกเราที่หน้ารีสอร์ท ป้อมปี่บอกว่าเส้นทางที่จะเดินทางไปเป็นเส้นทางที่ลาดชันแคบ และเวลาที่เดินทางไปท้องฟ้าก็ยังมืด จึงมความจำเป็นต้องใช้รถในพื้นที่และชำนาญทางจะปลอดภัยกว่า ประมาณ 06.30 น. รถก็พาพวกเราก็มาถึงปางอุ๋ง สวนปางอุ๋งแห่งนี้จัดสร้างขึ้นเพื่อให้มีพรรณพืชที่กลมกลืนกับสภาพภูมิประเทศบนที่สูง เพื่อทดแทนไร่ฝิ่นที่ร้างแต่เดิมมาเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๒๘ บริเวณโดยรอบมีพรรณไม้ต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะบริเวณผืนทะลาบที่เงียบสงบ เมื่อสะท้อนกับแสงแดดจะเห็นไอน้ำลอยตัวขึ้นมาอย่างงดงามเหลือคำบรรยาย แถมอากาศก็สดชื่นสุด ๆ





แต่เมื่อถึงเวลาพวกเราก็ต้องลาปางอุ๋ง (ทั้ง ๆ ที่อยากจะอยู่นาน ๆ) เพื่อเดินทางไปยังหมู่บ้านรักไทย ที่ติดชายแดนไทย-เมียนม่าร์ ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวจีนฮ้อ บ้านเรือนของพวกเขาเหล่านั้นก็ถูกสร้างมาจากดิน (อยากมีบ้างซักหลังคงดี) ผมเดินเที่ยวชมรอบ ๆ หมู่บ้าน และซื้อของฝาก (ส่วนมากจะเป็นพวกใบชา โสมต่าง ๆ) และมื้อเช้านี้พวกเราก็รับประทานอาหารที่หมู่บ้านรักไทยนี้ ร้านอาหารเป็นก็เป็นบ้านของชาวบ้านนี่แหละ แต่ดัดแปลงเป็นเหมือนโรงเตี้ยมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาหมู่บ้านแห่งนี้ ส่วนอาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็มีขาหมู มันโถ ยำปลากระป๋องกับใบชา สุดยอดคร๊าบ





หลังจากอาหารมื้อเช้าของวันนี้แล้วป้อมปี่ก็พาเราไปยังภูโคลนคลันทรีคลับต่อ เพื่อชมบ่อโคลน จากน้ำพุร้อน โดยนำมาใช้ในการเสริมสร้างสุขภาพความงามให้กับผิวพรรณ




จากนั้นรถที่เช่าก็พาพวกเราเดินต่อไปยังท่าเรือบ้านห้วยเดื่อ พื่อไปชมหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว หรือ กะย้าง และจุดนี้รถที่เราจ้างก็หมดภาระกิจ และจากเราไป โดยขากลับรถตู้ที่พาพวกเรามาจากกรุงเทพฯ ก็จะมารอรับพวกเรา ณ จุดนี้ต่อ จากนั้นป้อมปี่ก็พาพวกเราลงเรือล่องตามแม่น้ำปาย ผ่านห้วยบ้านห้วยเดื่อไปจนถึงบ้านน้ำเพียง โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที จุดเด่นของบ้านน้ำเพียงดิน คือ วิถีชีวิตของชาวปากด่อง ( กะเหรี่ยงคอยาว ) หรือกระเหรี่ยงใส่คอ(กะย่าง) รวมถึงสินค้าพื้นเมืองที่ชาวปากด่องนำมาจำหน่าย สินค้าจำพวกผ้าทอต่าง ๆ ล้วนทำมากับมือของชาวปากด่อง เมื่อถึงแก่เวลาพวกเราก็ร่องเลือกลับมายังบ้านห้วยเดื่อ และขึ้นรถเดินทางไปรับประทานอาหารมื้อเที่ยงต่อภายในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน หลังจากอิ่มหนำอาหารมื้อเที่ยงแล้ว ผมกับป้อมปี่นำคณะไปขอประกาศนียบัตรผู้พิชิต1864 โค้ง จากการท่องเที่ยว จ.แม่ฮ่องสอน







จากนั้นก็ออกเดินทางต่อทันทีไปยังถ้ำน้ำลอดปางมะผ้าหรือถ้ำลอด ระหว่างการเดินทางก็มึนนิดหน่อยเพราะต้องขึ้นลงเขาตลอด มองคนขับรถก็อดไม่ได้ที่จะเหนื่อยแทน แต่ด้วยความชำนาญของคนขับ ผมก็มั่นใจว่าพวเราปลอดภัยแน่นอน พวกเราเดินทางไปถึง สถานศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าถ้ำน้ำลอด ในช่วงสี่โมงเย็นแล้ว เราต้องรีบทำเวลา เพราะคนลากแพใกล้จะกลับบ้านแล้ว การเดินทางเข้าชมในถ้ำก็ต้องเช่าตะเกียง และคนลากแพ จำนวน 150 บาท ต่อแพ 1 ลำ แพ 1 ลำ บรรทุกผู้โดยสารได้ 4 คน เท่านั้น ภายในถ้ำจะประกอบไปด้วยถ้ำ 3 ถ้ำ ได้แก่ ถ้ำเสาหินหลวง เป็นถ้ำกว้างใหญ่ มีหินงอกหินย้อยสวยงาม ถ้ำตุ๊กตา มีหินงอกเป็นปุ่มปมเล็กๆ คล้ายตุ๊กตาเรียงรายอยู่มากมาย และด้านหนึ่งของผนังถ้ำยังปรากฏภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ถ้ำนี้เป็นถ้ำที่กว้างและยาวที่สุดในถ้ำลอด ถ้ำสุดท้ายอยู่ด้านทางออกคือ ถ้ำผีแมน นอกจากมี หินงอกหินย้อยสวยงามแล้ว ยังเป็นที่พบเศษภาชนะดินเผา เมล็ดพืช เครื่องมือหิน ซีกฟันและกระดูกของมนุษย์ รวมทั้ง โลงผีแมน อีกด้วย โลงผีแมนนี้มีลักษณะเป็นท่อนไม้ที่ถูกขุดตรงส่วนกลางออกเป็นร่องคล้ายเรือ หรือรางไม้ใส่อาหารให้สัตว์เลี้ยง มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ โดยโลงขนาดใหญ่จะถูกวางอยู่บนคานโดยใช้เสา 4-6 ต้น ตั้งกับพื้นถ้ำ และเสาแต่ละคู่จะถูกเจาะเป็นช่องเพื่อสอดใส่คานไว้วางพาดโลงผีแมน เราอยู่ภายในถ้ำประมาณ 1 ชม. ก็ออกจากถ้ำ





จากนั้นก็ออกเดินทางมายัง อ.ปาย ต่อ และเข้าที่พักทันที ซึ่งติดกับแม่น้ำปาย แต่คืนนี้ผมไม่ขอนอนรีสอร์ท แต่ขอยืมเต๊นท์รีสอร์ทนอนข้างแม่น้ำปายดีกว่า แบบว่าอยากกินบรรยากาสให้อิ่มอกอิ่มใจหนะ ช่วงหัวค่ำป้อมปี่ก็พาไปทานอาหารมื้อเย็น ต่อจากนั้นก็พาพวกเราย่ำราตรีที่เมืองปาย แวะซื้อโปสการ์ดที่ร้านมิตรไทย แวะชิมโรตีรสร้านประจำของป้อมปี่เขาหละ จากนั้นก็เดินชมดนตรีสดที่ร้านปายโพส จนเวลาปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่าก็กลับสู่ที่พัก กะว่าจะนอนนับดาวซะหน่อย แต่ช่วงกลางคืนหนาวมาก แถมน้ำค้างแรง เลยต้องยอมนอนในเต๊นท์ดีกว่าเพราะต้องออกเดินทางต่อแต่เช้า





รุ่งเช้าผมตื่นตั้งแต่ตีห้า กะว่าจะอาบน้ำซะหน่อย แต่อาบไม่ไหวหนาวเหลือเกินเอาไว้รวบยอดดีกว่า จากนั้นรถก็ออกเดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาถนนธงชัย พวกเราไปถึงจุดชมวิวบริเวณห้วยน้ำดัง (ดอยกิ่วลม) ตอนฟ้ายังไม่สางเลย กะว่าจะได้ถ่ายรูปสวย ๆ มาอวดซะหน่อย แต่วันนั้นหมอกเยอะมาก รอจนเช้ายังไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าซะที เลยไม่ได้รูปสวย ๆ มาฝาก จนถึงแก่เวลาป้อมปี่จึงพาคณะมาทานอาหารมื้อเช้าต่อ



แล้วออกเดินทางต่อมายังโป่งเดือดป่าแแป๋ ซึ่งเป็น Unseen in Thailand อีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย โป่งเดือดป่าแป๋ คาดว่าเป็นบ่อน้ำพุร้อนแบบไกเซอร์ ( Geyser type ) ในขณะทั่วไปเป็นบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่ ซึ่งมีอุณหภูมิและมีแรงดันสูงมาก ซึ่งจะสูงกว่าระดับผิวดินเป็นครั้งคราวหรือตลอดเวลาแต่การพุ่งของน้ำสูงสุดจะเกิดในช่วงระยะเวลาที่คงที่ น้ำพุร้อนเกิดจากการเกิดการสะสมแก๊สในน้ำร้อน ทำให้เกิดแรงดันสูงกว่าปกติ ในขณะที่บ่อน้ำร้อนเกิดจากน้ำร้อนใต้ดินไหลพุ่งขึ้นสู่ผิวดินเกิดเป็นแอ่งตื้น ๆ กระจายอยู่ทั่วไป น้ำพุร้อนจะมีอุณหภูมิอยู่เหนือผิวดินประมาณ 90-99 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิใต้ผิวดินอยู่ประมาณ 170-203 องศาเซลเซียส บางครั้งจะพุ่งขึ้นถึง 2 เมตร มีกลิ่นค่อนข้างแรง โดยจะมีควันพวยพุ่งออกตามมาจากน้ำพุร้อนที่ขึ้นเหนือผิวดินอยู่มากและลอยขึ้นไปบนอากาศ พวกเราใช้เวลาเดินชมประมาณ 1 ชม. ก็ออกมุ่งหน้าออกจาก จ.แม่ฮ่องสอน ทันทีเพื่อกลับมายังบ้านของพวกเรา




พวกเรากลับมาถึงกรุงเทพในช่วงหัวค่ำ จากนั้นพวกเราก็อำลากลุ่มพี่ที่ร่วมเดินทาง และรอการเดินกลับมาในครั้งหน้า ที่พวกเราคิดว่าต้องมีอีกแน่นอน แล้วเจอกันใหม่ครับ

เรื่องเล่าการเดินทาง จาก Mr.annaontour
DotE
LastUpdate ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2552 - 22:55:57 น.
 
Information ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เจ้าของระบบไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือ ชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม กรุณาแจ้งที่ Email annop_nanya@hotmail.com เพื่อให้ผู้ควบคุมระบบทราบและทำการลบข้อความนั้น ออกจากระบบต่อไป
 
Copyright © 2009 www.annaontour.com. All rights reserved.
Untitled Document
สถิติผู้เข้าชม ขณะนี้มีผู้ชมอยู่ 8 ราย