User ยินดีต้อนรับ ผู้มาเยี่ยม
   

ให้บริการเช่ารถตู้ พร้อมคนขับ สำหรับ : ท่องเที่ยว ประชุม สัมมนา ตีกอล์ฟ รับ-ส่ง แบบรายวัน วิ่งงานประจำ
บริการเช่ารถตู้เอ็นจีวี เป็นรถตู้รุ่นใหม่ รุ่น VVT-I สามารถใช้ได้ทั้งระบบก๊าซเอ็นจีวี และระบบน้ำมัน
ที่ได้รับมาตรฐานจากศูนย์เอ็นจีวีคาร์เซ็นเตอร์ ความปลอดภัยดีเยี่ยม
เป็นรถประหยัดเชื้อเพลิง เพียง กม.ละ 1 บาท เท่านั้น ภายในรถตู้กว้าง พร้อมเครื่องเสียง ทีวี แอร์เย็นฉ่ำ
จองที่พักปาย
จองที่พักปาย
โต๊ะจีนนครปฐม โต๊ะจีนดี คุณภาพอาหารเยี่ยม ไมตรีโภชนา
โต๊ะจีนนครปฐม โต๊ะจีนดี คุณภาพอาหารเยี่ยม ไมตรีโภชนา
  NewTopic NewReply
 Topic ทัวร์เกาะพยาม ทัวร์ระนอง
User anna (Administrator)
เป็นสมาชิกเมื่อ : 18/3/2552
โพสต์ : 83
 
Vcard 1 มิถุนายน 2552 - 14:52:19 น.  
DotE
ทัวร์พะโต๊ะ ล่องแพพะโต๊ะ อาบน้ำแร่ระนอง ดำน้ำตื้นเกาะพยาม 3 วัน 2 คืน
ทัวร์เกาะพยาม ทัวร์ระนอง
สงกรานต์ปีนี้ที่ดูยุ่งเหยิง ทำเอาพวกเราต้องคิดว่าทริปนี้น่าจะเกิดขึ้นดีไหม แต่ในจริงไม่อยากให้ประเทศไทยเราเกิดปัญหา เพราะจะกระทบถึงเรื่องการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างประเทศอาจจะไม่มาเมืองไทย หรือยกเลิกการเดินทางมาที่ประเทศไทยเรา และถ้าพวกเราคนไทยไม่เที่ยวไทยแล้วใครจะมาเที่ยวหละ แล้วเศรษฐกิจเราจะเดินหน้าได้อย่างไร เหตุผลนี้แหละจึงเป็นเหตุให้พวกเราออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศไทย และหลบเรื่องวุ่นวายทางการเมืองไทยด้วย
ทริปนี้พวกเรากะว่าจะไปเที่ยวในจังหวัดที่ติดทะเลแถบอันดามัน แต่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปไม่เยอะมาก เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงความวุ่นวายของนักท่องเที่ยวที่พลุกพล่านพวกเราจึงตัดสินใจไปจังหวัดระนอง โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญได้แก่ เกาะพยายาม และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในตัว จ.ระนอง

จังหวัดระนอง เป็นจังหวัดแรกของภาคใต้ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอันดามัน หรือมหาสมุทรอินเดีย อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เป็นระยะทางประมาณ 568 กิโลเมตร มีพื้นที่เพียง 3,298 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 2,141,250 ไร่ มีคอคอดกระ หรือกิ่วกระ ซึ่งเป็นส่วนที่แคบที่สุดของแหลมมลายู มีความกว้างเพียง 9 กิโลเมตร สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาและป่าไม้ พวกเราได้หาข้อมูลจากสื่ออินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับที่พัก และได้จองกับแบมบูบังกะโล ที่อ่าวใหญ่ ที่เกาะพยาม พวกเราออกเดินทาง จากจังหวัดนครปฐม ประมาณ 3 ทุ่ม โดยมีสมาชิกในการเดินทาง 4 ท่านด้วยกัน ตามเคยครับ ป้อมปี่นำทีมเดินทาง น้องยูมิจังทีมถ่ายรูป น้องจุ๋มเด็กญี่ปุ่นเก็บข้อมูลการเดินทาง และผมแอนนาขาลุยเป็นคนขับรถประจำทริป


ทริปนี้ก็เหมือนทริปทั่ว ๆ ไป ไม่น่ามีอะไรมาก แต่ว่าระหว่างการเดินทางออกจากเส้นเพชรเกษมสาย 4 ขาออก รถติดเยอะมากทำให้การเดินทางล่าช้ามาก เวลาที่เราเซ็ตเอาไว้คลาดเคลื่อนไปหมด จึงทำให้เรามาถึงท่าเรือที่จะข้ามไปเกาะพยามในช่วงเช้าไม่ทันเวลา ซึ่งปกติท่าเรือเกาะพยามจะมีวันละ 2 รอบ เรือใหญ่ออกเวลา 09.00 น. และ 14.00 น. ในราคาเที่ยวละ 150 บาท / คน และจะใช้เวลาข้ามไปเกาะพยามประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนเรือสปีดโบ๊ท จะออกเวลา 09.30 น. และ 14.30 น. ราคาเที่ยวละ 350 บาท / คน และจะใช้เวลาข้ามไปเกาะพยามประมาณ 45 นาที

พวกเราจึงได้ตัดสินใจขึ้นเรือสปีดโบ๊ทในช่วงบ่ายแทน ส่วนเวลาที่เหลือพวกเราจะขับรถเที่ยวชมเมืองระนองไปเรื่อย ๆ พวกเราแวะไปหาอะไรรองท้องในช่วงเช้าในตลาดตัวเมืองจังหวัดระนองก่อน จากนั้นก็ตะเวนไปเรื่อย ๆ กะว่าจะวิ่งออกถนนเพชรเกษม ก็ไปพบกับพระราชวังพระราชวังรัตนรังสรรค์จำลอง ซึ่งเป็นพระราชวังที่จัดสร้างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์การเสด็จประทับแรมจังหวัดระนองของพระมหากษัตริย์ ๓ พระองค์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ (พ.ศ.๒๔๓๓) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ (พ.ศ.๒๔๕๒) และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ (พ.ศ.๒๔๗๑) และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดระนองเป็นพระราชวังที่ทำด้วยไม้สักและไม้ตะเคียนทองอยู่ติดกับถนน


พวกเราแวะถ่ายรูปกันซักพักก็ออกเดินทางต่อ เพื่อจะไปสักการะลานอนุสาวรีย์พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี หรืออนุสาวรีย์คอซู้เจียง ซึ่งตั้งอยู่หน้าเทศบาลเมืองระนอง ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง คอซูเจียง เป็นเจ้าเมืองระนองคนที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกเหมืองแร่ดีบุก และสถานที่แห่งนี้เป็นที่เคารพและนับถือของชาวจังหวัดระนอง ภายในบริเวณยังเป็นลานกว้าง เพื่อนักท่องเที่ยวและผู้ทีเดินทางมาสักการะอนุสรณ์คอซู้เจียงได้พัก


จนเวลา 12.00 น. พวกเราจึงไปเตรียมเสบียงก่อนเดินทางข้ามเกาะ (กลัวว่าราคาของฝั่งที่เกาะพยามจะแพง) จนเวลา 14.00 น. พวกเราไปรอที่ท่าเรือข้ามฟากไปเกาะพยาม ซึ่งทางเข้าจะอยู่ติดกับสถานีตำรวจ จ.ระนอง ขับเข้าไปในซอย ประมาณ 1 กม. ก็จะพบท่าเรือข้ามไปเกาะพยาม ส่วนรถยนต์พวกเราได้นำไปฝากกับสตาร์แครปรีสอร์ท ซึ่งอยู่ติดกับท่าเรือเลย ในอัตราค่าเช่าวันละ 50 บาท/วัน




เมื่อฝากรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมกับพวก ๆ ก็รีบไปขึ้นเรือสปีดโบ๊ททันที เรืออกเวลา 14.30 น. ตรงเปี๊ยะพอดี เรือได้ล่อง ผ่านป่าโกงกางบริเวณท่าเรือ จากนั้นก็ออกสู่ทะเลอันดามัน โดยใช้เวลา 45 นาที ก็ถึงท่าเทียบเรือแล้ว หลายคนที่ขึ้นเรือไปพร้อมพวกเราต่างก็มีรถมารับ แต่ส่วนมากจะเป็นรถมอเตอร์ไซด์มากกว่า แต่ก็มีรถแทรกเตอร์ที่ทำพ่วงลากของมาบริการบ้าง เท่าที่พวกเราทราบข้อมูลที่เกาะนี้ไม่มีรถยนต์ ส่วนการเดินทางสัญจรบนเกาะ จะใช้เท้า รถจักรยาน และรถจักรยานยนต์เท่านั้น พวกเราจึงเดินไปยังท่าเรือจากนั้นได้เช่าจักรยานมา 2 คัน ในราคาค่าเช่าต่อวัน วันละ 200 บาท แต่น้ำมันเติม


ประชาชนที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นคนใต้ เป็นชาวพื้นบ้าน แต่จะมีแรงงานต่างด้าว(ชาวพม่า)มาทำงานบนเกาะค่อนข้างเยอะอยู่พอสมควร เนื่องจากเมืองระนองบริเวณเกาะสองมีอาณาเขตติดกับพม่า และการเดินทางก็ค่อนข้างง่ายมากโดยใช้เวลาประมาณแค่ 10 นาที เท่านั้นเอง บนเกาะพยามพื้นที่ส่วนใหญ่จะทำการเกษตรโดยการปลูกมะม่วงหิมพานต์ จากนั้นจะนำมาแปรรูปจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว





ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจของเกาะพยามมีหลายที่ เช่น อ่าวเขาควาย อ่าวใหญ่ หมู่บ้านมอแกน วัดพยาม เดินป่าศึกษาธรรมชาติ ดำน้ำดูปะการัง เล่นกระดานโต้คลื่น ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ประมง ช่วงเวลาเปิดเกาะพยามประมาณเดือนพฤศจิกายน เดือนเมษายน ของทุกปี พวกเราได้มุ่งหน้าออกเดินทางไปยังอ่าวใหญ่ โดยระหว่างการเดินทางก็สอบถามชาวบ้านไปเรื่อย และสังเกตได้ว่านักท่องเที่ยวที่เกาะพยามส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงทำให้พวกเราคิดว่าทำไมคนไทยมาเที่ยวน้อยจังทั้ง ๆ ที่เกาะพยามก็เป็นเกาะที่สวยงามและน่าอยู่
พวกเราเดินทางมาประมาณ 15 นาที ก็ถึงแบมบูบังกาโลที่อ่าวใหญ่ จากนั้นพวกเราก็ได้ไปติดต่อกับพี่เจมส์ ซึ่งเราได้จองห้องพักกับพี่เค้าไว้แล้วในราคาหลังละ 1,700 บาท นอนได้ 4 คน แต่เป็นห้องพักลมนะ พี่เจมพาพวกเราไปยังห้องพักที่แบมบูบังกะโลก่อน






จากนั้นก็แนะนำพวกเราในการเดินทางเที่ยวชมเกาะพยาม หลังจากที่พวกเราเช็คอินเข้าที่พักแล้ว ก็ออกมาเดินเล่นชายหาดที่อ่าวใหญ่ อ่าวใหญ่เป็นอ่าวที่มีคลื่นแรง เหมาะกับกีฬาทางน้ำประเภทโต้คลื่น แต่สามารถเล่นน้ำทะเลได้ครับ (แต่เด็ก ๆ ควรระวังต้องมีผู้ปกครองคอยดูแลนะครับ) เมื่อถึงช่วงเย็นผมก็มีโอกาสได้มาโชว์ลวดลายการเล่นวอลเลย์บอลชายหาดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นมิตรไมตรีกับพวกเราทุกคน หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับกิจช่วงเย็นแล้ว พวกเรากลับที่พักเพื่ออาบน้ำ






จากนั้นก็ออกมาทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารของแบมบูเฮ้าส์บังกะโล อาหารที่นี่อร่อยครับ และการบริการของที่นี่ก็ดีมาก โดยเฉพาะน้องโจ ซึ่งเป็นแรงงานชาวพม่าที่มาทำงานที่นี่ น้องโจยังอายุน้อยอยู่เลย แต่อัธยาศัยน้องโจดีมากครับ คุยสนุกใช้ภาษาไทยบ้าง ภาษาอังกัฤษบ้าง มั่วไปกับพวกเราได้เป็นอย่างดี หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารมื้อเย็นพวกเราก็เข้าที่พัก กะว่าพรุ่งนี้จะขี่จักรยานยนต์เที่ยวรอบเกาะพยาม


รุ่งเช้าพวกเราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามุ่งหน้าสู่อ่าวเขาควาย พวกเราใช้เวลาเดินทางจากอ่าวใหญ่ไปอ่าวเขาควายประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของรีสอร์ท ที่ได้รับการสัมปทาน และพวกเราก็สะดุดตากับรีสอร์ทแห่งหนึ่งชื่อพยามคอกเทจรีสอร์ท ซึ่งห้องพักเป็นแอร์ทั้งหมด ติดกับอ่าวเขาควาย ห้องพักสวยพักได้ประมาณ 2 คน หรือแบบครอบครัวก็ได้ พวกเราได้มีโอกาสพบกับพี่โก้ ซึ่งเป็นผู้จัดการพยามคอกเทจ รีสอร์ท พี่โก้แนะนำว่าห้องพักส่วนมากคนจะเต็มตลอด เพราะติดกับอ่าวควายสามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบาย เรือสามารถมารับนักท่องเที่ยวไปดำน้ำได้ที่หน้าหาด และในอนาคตที่นี่จะสร้างสระว่ายน้ำ ราคาค่าเช่าห้องพักต่อคืนประมาณ 1,500 บาท และถ้าหากมาเป็นกรุ๊ปใหญ่ ๆ ทางรีสอร์ทมีเรือสปีดโบ๊ทรับที่ท่าเรือส่วนบุคคลได้ด้วย เราได้เที่ยวชมอ่าวเขาควายจนถึงเวลา 10.30 น. จึงเดินทางกลับไปที่แบมบูบังกะโล











ทริปนี้พวกเราไม่มีเวลาพอที่จะลงเรือไปดำน้ำ เนื่องจากกลัวปัญหารถติด และมีธุระที่ต้องเดินทางไปที่อื่นต่อ พวกเราเก็บข้าวของเดินทางออกจากเกาะพยาม ก่อนเดินทางกลับพวกเราแวะซื้อของฝากซึ่งเป็นเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ผ่านกระบวนการผลิตเรียบร้อยแล้ว จากชาวบ้านในระแวกนั้น และได้นำมอเตอร์ไซด์ไปคืน พร้อมกับซื้อตั๋วเรือบริเวณท่าเรือ เพื่อที่จะขึ้นเรือในช่วง 13.00 น. (เรือจะมีช่วง 09.00 น. ด้วยครับ) ราคาเท่าเดิม เรือสปีดโบ๊ทคนละ 350 บาท พวกเราลงเรือและมาถึงฝั่งประมาณ 14.00 น. และได้เดินทางไปยัง สตาร์แครปรีสอร์ท เพื่อไปเอารถที่ฝากไว้ พวกเราจ่ายค่าเช่า 50 บาท จากนั้นจึงออกเดินทาง ไปแช่น้ำร้อนที่บ่อน้ำร้อนสวนสาธารณะรักษะวาริน ในปี พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระเจ้าจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เสด็จประพาสเมืองระนอง ได้พระราชทานชื่อถนนที่จะไปยังบ่อน้ำร้อนว่า ถนนชลระอบ่อน้ำร้อนซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินี้มีอยู่ 3 บ่อ คือ บ่อพ่อ บ่อแม่และบ่อ ลูก ทั้ง 3 บ่อมีอุณหภูมิสูงประมาณ 65 องศาเซลเซียส สามารถใช้ดื่มและอาบได้ มีประโยชน์ต่อร่างกายในแง่การบำบัดรักษาสุขภาพ การเดินทางก็แสนง่ายครับ ออกมาจากตัวเมืองระนองไม่ไกลนัก จากเส้นทางหลวงหมายเลข 4 ให้เลี้ยวซ้ายเข้ามาตามทางหลวงหมายเลข 4005 ประมาณ 1 กม. ก็จะพบกับสวนสาธารณะรักษะวาริน





พวกเราแช่น้ำร้อนกันซักครู่ใหญ่ ก็เดินทางต่อมาอีกประมาณ 6 กม. ก็พบวัดหาดส้มแป้น พวกเราแวะนมัสการหลวงพ่อน้อย ผู้ซึ่งเป็นผู้สร้างวัดหาดส้มแป้น และหลวงพ่อคล้าย ผู้ที่เป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนชาวระนอง





จากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางต่อจากวัดหาดส้มแป้นไปไม่ไกลประมาณ 3 กิโลเมตร ก็พบระนองแคนย่อน สถานที่แห่งนี้มีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนที่ถูกกัดเซาะจนมียอดเขา หลาย ๆ ยอด บริเวณด้านล่างเป็นสระน้ำขนาดใหญ่พอสมควร ภายในสระน้ำเลี้ยงปลาไว้หลายชนิด พวกเราแวะให้อาหารปลาไม่นานานนัก ฝนเริ่มตกปอย ๆ พวกเราจึงรีบขึ้นรถยนต์ เพื่อเดินทางไปชมน้ำตกปุญญบาลต่อ





ผมขับรถมาตามเส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ระนอง-ชุมพร) ประมาณหลัก กม.ที่ 597 ก็พบกับน้ำตกปุญญบาล อยู่ติดริมถนน เดิมชื่อน้ำตกเส็ดตะกวด สูงประมาณ 20 เมตร เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามแห่งหนึ่งของ จ.ระนอง บริเวณโดยรอบน้ำตกมีความร่มรื่น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาเล่นน้ำตก และพักผ่อนบริเวณโดยรอบน้ำตกปุญญบาล เวลาก็เย็นเข้าไปทุกขณะตอนนี้ก็ประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว พวกเราจึงรีบเดินทาง




ระหว่างทางประมาณหลักกิโลเมตรที่ 553 พวกเราก็เห็นป้าย จุดชมวิวไทย-เมียนม่าร์ พวกเราเห็นน่าสนใจดี จึงแวะเข้าไปดู ผมขับรถเข้าไปประมาณ 1 กม. ก็พบบริเวณจุดชมวิวไทย-เมียนม่าร์ โดยเป็นท่าเทียบเรือบ้านหัวถนน เป็นท่าเรือขนสินค้าข้ามไปฝั่งพม่า และยังเป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งบริเวณริมน้ำกระบุรี เราอยู่ ณ จุดนี้ประมาณ 15





ประมาณ 6 เย็นโมงกว่า ๆ พระอาทิตย์ก็จะลับขอบฟ้าแล้ว พวกเรารีบหยิบกล้องมากดชัตเตอร์ก่อนที่แสงยามเย็นจะหมดไป จากนั้นก็ยืนชมวิวยามเย็นที่คอคอดกระที่มีแสงสีทองสะท้อนลงบนแม่น้ำกระบุรี มองแล้วงดงามยิ่งนัก จนหมดแสงตะวัน พวกเราจึงรีบเดินทางกลับ





แต่ระหว่างทางพวกเราก็ได้แวะซื้อซาลาเปา และขนมจีบ ที่ทับหลี ซึ่งเป็นซาลาเปาและขนมจีบที่ขึ้นชื่อของที่นี่ โดยมีรสชาติหอม หวาน มัน นุ่มอร่อย ไม่เหมือนใคร ถ้าใครได้ผ่านไปมาแล้ว ก็จะอดที่ไม่ได้ที่จะแวะซื้อไปเป็นของฝากจากจังหวัดระนอง






พวกเราออกจากทับหลีประมาณ 2 ทุ่ม ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชม. ก็เดินทางกลับถึงบ้าน จากนั้นก็แยกย้ายกัน เพื่อไปเตรียมตัวเดินทางกันใหม่ในทริปหน้า แล้วเจอกันใหม่นะเพื่อน ๆ ทีมงาน annaontour.com

เรื่องเล่าการเดินทางจาก หนูจุ๋ม
DotE
LastUpdate ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2552 - 20:26:14 น.
 
Information ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เจ้าของระบบไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือ ชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม กรุณาแจ้งที่ Email annop_nanya@hotmail.com เพื่อให้ผู้ควบคุมระบบทราบและทำการลบข้อความนั้น ออกจากระบบต่อไป
 
Copyright © 2009 www.annaontour.com. All rights reserved.
Untitled Document
สถิติผู้เข้าชม ขณะนี้มีผู้ชมอยู่ 1 ราย