ทัวร์หลวงพระบาง 7,500 บาท รถตู้ VIP จาก กทม. ทัวร์วังเวียง ทัวร์ลาว ทัวร์เวียงจันทร์ ถ้ำติ่ง พระธาตุลำปางหลวง ประตูชัย ตลาดมืดหลวงพระบาง
สัมผัสสายลม ชมสายหมอก ที่หลวงพระบาง (หน้า3) จากนั้นพวกเราก็เดินทาไปหาเฝอบริเวณติดริมน้ำโขงต่อ เมื่ออิ่มได้ที่พวกเราออกเดินทางไปยังวัดใหม่สุวันนะพูมาราม เพื่อนมัสการหลวงพ่อภายในโบสถ์ ที่วัดนี้ต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 10,000 กลีบ
จากนั้นพวกเราก็เดินเท้าต่อมายังพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง เพื่อนมัสการพระบางอันศักดิ์สิทธิ์ของเมืองหลวงพระบาง และเข้าชมจากนั้นพวกเราก็เดินเท้าต่อมายังพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง โดยต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 30,000 กลีบ และภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ เลยไม่มีรูปมาอวด แต่ก็ทราบจากไกด์ลาวมาว่าเป็นวังเก่าของเจ้ามหาชีวิต ภายในมีทั้งพระบรมฉายาลักษณ์ พระขรร ห้องบรรทม และของใช้ ของเจ้ามหาชีวิตและพระชายา โดยแต่ละจุดจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล
พวกเราออกจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง แล้วเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เพื่อที่จะขึ้นไปนมัสการพระธาตุพูศรี พระธาตุนี้ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของพู บนความสูง 150 เมตร จากตีนเขาพวกเราต้องใช้แรงค่อนข้างมากเพื่อขึ้นไปยังตัวพระธาตุพูศรี โดยต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 20,000 กลีบ เมื่อขึ้นถึงบนพระธาตุพูศรีแล้ว พวกเราก็หายเหนื่อยทันที เพราะบนนี้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบางได้เกือบทั้งหมด พวกเรานั่งพักสายตา และรับอากาศบริสุทธิ์ พร้อมกับเก็บความทรงจำลงเมมโมรี่กล้องดิจิตอลแล้ว จึงลงบนยอดพระธาตพูศรี
จากนั้นจึงเดินทงต่อไปยังวัดเชียงทอง โดยเสียค่าธรรมเนียมคนละ 20,000 กลีบ วัดเชียงทองสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2102 –2103 สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ใกล้บริเวณที่แม่น้ำคานที่ไหลมาบรรจบแม่น้ำโขง ในบรรดาวัดวาอารามทั้งหมดต้องยกให้วัดเชียงทองเป็นวัดที่สำคัญและสวยงามที่สุด จนทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาวัดเชียงทองนี้มากที่สุด “นักโบราณคดียกย่องว่าวัดเชียงทองเป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว” ภายในมีสถานที่สำคัญและน่าสนใจได้แก่ พระอุโบสถ พระวิหารน้อย พระประธาน หรือชาวลาวเรียกว่าพระองค์หลวง โรงเมี้ยนโกศ หรือโรงเก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ที่สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2505
จากนั้นพวกเราก็ต้องเดินทางต่อมายังวัดวิชุนนราช ที่สร้างขึ้นเมื่อ ปีพ.ศ. 2046 ในสมัยพระเจ้าวิชุนราช นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาชมพระธาตุรูปร่างโค้งมนเหมือนผลแตงโมคว่ำ ที่มีลักษณะโดดเด่นทีทำให้นักท่องเที่ยวรู้จักวัดวิชุน และที่นี่เราก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมอีก 20,000 กลีบ
จากนั้นพวกเราก็เดินทางมายังวัดสุดท้ายของทริปการเดินทางวันนี้คือวัดพระบาท พวกเราต้องเสียค่าธรรมเนียมอีกคนละ 10,00 0 กลีบ ก่อนเข้าวัดพระบาท วัดนี้ได้ชื่อว่าวัดพระบาทเนื่องจากมีรอยพระบาทประดิษฐานอยู่บริเวณติดริมน้ำโขง แต่เนื่องจากวันที่เราไปเป็นช่วงฝนตกหนักน้ำในลำน้ำโขงขึ้นสูงมาก พวกเราจึงไม่สามารถมองเห็นพระบาท แต่พวกเราก็ได้เข้านมัสการพระพุทธรูปสถาปัตยกรรมแบบพม่า และชมภาพวาดฝาผนังภายในพระอุโบสถ และที่วัดพระบาทแห่งนี้
เพื่อเราออกจาวัดพะบาทประมาณ 17.30 น. ไปยังปั้มที่เรามาเมื่อวานนี้ เพื่อเติมน้ำมันให้เต็มถัง ก่อนที่พรุ่งนี้เราจะต้องเดินทางกลับตอนเช้ามืด จากนั้นพวกเราก็แวะซื้อบะหมี่สำเร็จรูป แล้วเดินทางกลับสู่ที่พัก เพื่อพักผ่อนให้เพียงพอก่อนที่พวกเราจะต้องเดินทางกลับโดยใช้เวลา 1 วัน 1 คืน แบบเต็ม ๆ ในการเดิทางกลับของวันพรุ่งนี้ รุ่งเช้าพวเราเช็คเอาออกจากโรงแรมตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพื่อเดินทางกลับ บรรยากาศก็เหมือนเดิมเลย แต่คราวนี้ฝนตกมากกว่าขามาเสียอีก จนทำให้ถนนบางช่วงถึงกับทรุดตัว แยกจากพื้นถนนอย่างเห็นได้ชัด พวกเราจึงแล่นรถกลับอย่างระมัดระวังขึ้น และได้ไปพักทานอาหารกลางเช้าที่กิ่วกระจำอีกครั้ง คราวนี้พี่แก่นโทรแจ้งกับพวกเราว่า เมื่อคืนฝนตกหนักที่วังเวียงทำให้ถนนทรุดตัว และมีดินถล่มหลายจุด และมีจุดหนึ่งที่น่าเป็นห่วงถนนถูกน้ำท่วมถึงขนาดรถสิบล้อยังผ่านไม่ได้ เรารู้สึกหนาว ๆ เหมือนกัน แต่ก็ไม่หวั่น จึงเดินทางกลับตามเส้นทางเดิม ทางก็เป็นแบบที่พี่แก่นบอกจริง ๆ พวกเราเดินทางมาถึงวังเวียงช่วงเที่ยงพอดี จึงหารับประทานอาหารเที่ยงอีกครั้งและโทรศัพท์ถามพี่แก่นว่าช่วงไหนที่น้ำท่วมถนน เพราะขากลับจากหลวงพระบางยังไม่เห็นมีเลย พี่แก่นตอบกลับว่าช่วงที่จะเข้าเวียงจันทน์นี่แหละ แต่ตอนนี้น้ำลดลงประมาณครึ่งล้อรถยนต์แล้วรถที่ติดอยู่ค่อย ๆ ทยอยเดินทางออกจากที่จุดน้ำท่วม พวกเราจึงรีบออกเดินทางจนมาถึงช่วงที่น้ำท่วม พวกเราสังเกตเห็นน้ำที่ท่วมถนน ที่ไหลไปยังบ้านที่อยู่ติดกับถนนที่มีรอยระดับน้ำสูงเกือบถึงหลังคาบ้าน ผมค่อย ๆ แล่นรถออกไปช้า ๆ เพื่อไม่ให้น้ำเป็นคลื่นไปซัดบ้านเรือนบริวเณนั้น ประมาณ 4 โมงเย็นพวกเราก็เดินทางมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองลาว พวกเราเรื่องกลับประเทศไทยและต้องเสียค่าธรรมเนียมเหมือนเดิม แต่ขากลับฝั่งลาวเราต้องเสียค่าข้ามสะพานไทยลาวอีก 50 บาท จนมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งไทย เราก็เสียค่าธรรมเนียมเหมือนเดิมเช่นกัน
จากนั้นพวกเราก็แวะซื้อของฝากพวกหมูยอ แหนมเนือง หอยจ้อ กุนเชียง จากร้านของฝากอันขึ้นชื่อของ จ.หนองคาย ที่ร้านแดง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท่าเสด็จ และพวกเราก็หม่ำอาหารเย็นที่นี่เลย เพราะอยากกินบรรยากาศยามเย็ม ชมพระอาทิตย์ตกที่แหลมเสด็จติดลำน้ำโขง
จากนั้นพวกเราก็ออกเดินทากลับ ถึงจ.นครปฐมตอนหกโมงเช้า โดยสวัสดิภาพ <<กลับไปอ่านหน้า 2>>
เรื่องเล่าการเดินทาง จาก Mr.annaontour |