User ยินดีต้อนรับ ผู้มาเยี่ยม
   

ให้บริการเช่ารถตู้ พร้อมคนขับ สำหรับ : ท่องเที่ยว ประชุม สัมมนา ตีกอล์ฟ รับ-ส่ง แบบรายวัน วิ่งงานประจำ
บริการเช่ารถตู้เอ็นจีวี เป็นรถตู้รุ่นใหม่ รุ่น VVT-I สามารถใช้ได้ทั้งระบบก๊าซเอ็นจีวี และระบบน้ำมัน
ที่ได้รับมาตรฐานจากศูนย์เอ็นจีวีคาร์เซ็นเตอร์ ความปลอดภัยดีเยี่ยม
เป็นรถประหยัดเชื้อเพลิง เพียง กม.ละ 1 บาท เท่านั้น ภายในรถตู้กว้าง พร้อมเครื่องเสียง ทีวี แอร์เย็นฉ่ำ
จองที่พักปาย
จองที่พักปาย
โต๊ะจีนนครปฐม โต๊ะจีนดี คุณภาพอาหารเยี่ยม ไมตรีโภชนา
โต๊ะจีนนครปฐม โต๊ะจีนดี คุณภาพอาหารเยี่ยม ไมตรีโภชนา
  NewTopic NewReply
 Topic บ่อเตน บ่อหาน เมืองหล้า กาหลั่นป้า สิบสองปันนา ประเทศจีน
User anna (Administrator)
เป็นสมาชิกเมื่อ : 18/3/2552
โพสต์ : 83
 
Vcard 5 มิถุนายน 2552 - 09:52:11 น.  
DotE
กรุงเทพฯ หนองคาย เวียงจันทร์ วังเวียง หลวงพระบาง 4 วัน 5 คืน ท่านละ 7,900 บาท

บ่อเตน บ่อหาน เมืองหล้า กาหลั่นป้า สิบสองปันนา ประเทศจีน
จุดหมายต่อไปก็คือเมืองสิบสองปันนา ที่เมืองจีน ระหว่างการเดินทางเราต้องผ่านเมืองบ่อแก้ว แล้วเข้าสู่บ่อเตนซึ่งเป็นชายแดนลาวจีน พวกเราแวะทำเอกสารผ่านแดนที่นี่ โดยก่อนหน้านี้พวกเราได้ติดต่อ บริษัททัวร์จีนไว้แล้วที่สิบสองปันนา ให้มารับพวกเราที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองลาวจีน บ่อเตน เมื่อทำเรื่องผ่านแดนลาวเสร็จ โดยเสียค่าดำเนินการคนละ 30 บาท ในการทำเอกสาร และทางเราได้ติดต่อขอฝากรถกับทางเจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่จอดรถยนต์ โดยเสียค่าฝากรถวันละ 100 บาท ไกด์สาวจีนชื่อว่าน้องหยก จากบริษัททัวร์จีได้มารอรับพวกเราที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองลาวจีนอยู่ เมื่อเห็นพวกเราทำเอกสารผ่านแดนเสร็จแล้ว จึงพาพวกเราพร้อมสัมภาระนั่งรถสองแถวเข้าสู่บ่อหานที่เมืองจีน จากนั้นน้องหยกก็พวกเราทำเรื่องไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจีน เพื่อตรวจโรคและทำวีซ่า (ค่าวีซ่าประมาณคนละ 1,000 บาท) ก่อนเดินทางต่อไปยังสิบสองปันนา


หลังจากเดินเอกสารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไกด์หยกพาพวกเราขึ้นรถตู้ที่ทาง บริษัททัวร์จีนได้จ้างเอาไว้ โดยเป็นรถตู้ทั่ว ๆ ไป ที่ใช้ในเมืองจีน สามารถบรรจุผู้โดยสารได้ประมาณ 14 ท่าน โดยมีพนักงานขับรถที่ชำนาญเส้นทางให้บริการ ระหว่างการเดินทางพนักงานขับรถใช้เส้นทางที่ทำใหม่กว้างกว่าเส้นทางเก่า โดยระหว่างการเดินทางรถจะต้องวิ่งลอดอุโมงค์ที่เจาะทะลุภูเขาหลายอุโมงค์ เพื่อหลบเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชันบนเขา ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น ระหว่างทางพวกเราได้เห็นทัศนียภาพของเมืองจีนตอนใต้ ส่วนใหญ่เป็นภูเขา และมีหมู่บ้านอยู่เป็นหย่อม ๆ มีทั้งชาวไทลื้อ ชาวม้ง อาศัยอยู่



ไกด์หยกพาพวกเรามาถึงเมืองหล้า และได้เตรีมอาหารไว้แล้ว ประมาณ 12 อย่าง (ไม่มีของหวานนะครับ) มื้อนี้อร่อยครับ มีขาหมูมันโถ อาหารจำพวกผัดผัก ซุป ไข่เจียว ปลานึ่งมะนาว พร้อมกับจิบน้ำชาร้อน ๆ ระหว่างทานอาหาร


หลังจากทานอาหารมื้อกลางวันแล้วไกด์หยกก็ให้พวกเราไปเข้าห้องน้ำ ก่อนขึ้นรถเดินทางต่อ ผมไม่ได้เข้าห้องน้ำครับ เพราะทราบมาว่าเมืองจีนห้องน้ำไม่มีประตูปิด หากใครเข้าไปปลดทุกข์หนัก ๆ ก็จะเห็นกันแบบจะ ๆ เลย เพื่อน ๆ ผมเข้าไปกันต่างก็หัวเราะชอบใจ บอกว่าเหม็นถูกใจดี แต่ที่สำคัญเห็นชาวจีนอุจจาระแบบไม่ปิดประตู เมื่อเสร็จกิจพวกเราก็ขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังเมืองก๋าหลั่นป้า เพื่อชมวิถีชีวิตของชาวไทลื้อ หรือ คนไทยพลัดถิ่น ที่มีวัฒนธรรมและประเพณี คล้ายคนไทยเรา ไม่ว่าจะเป็นประเพณีสงกรานต์ วัฒนธรรมการชนไก่ โดยตัวผมเองได้ไปสัมผัสก็คือ การสนทนาของชาวไทลื้อส่วนใหญ่จะมีภาษาไทยเข้ามาเกี่ยว พวกเราได้ขึ้นชมบนเรือของชาวไทลื้อ ซึ่งบ้านเรือนก็คล้าย ๆ กับบ้านคนไทยเราครับ หากหนุ่มท่านใดเผลอไปเปิดประตู อีนางตัวดี (ชาวไทลื้อจะเรียกหญิงสาวอีนางตัวดี) จะต้องเป็นลูกเขยบ้านนั้น แต่ก่อนแต่งงานต้องทำงานให้ครบ 3 ปี ก่อน จากนั้นจึงจะได้แต่งกับลูกสาวบ้านนั้น พวกเราเดินชม และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชาวไทลื้อ มีทั้งเงินที่ชาวไทลื้อทำเอง และผลิตภัณฑ์มีดสารพัดประโยชน์ ซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อของชาวไทลื้อ โดยชาวไทลื้อที่นำสินค้ามาเสนอสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจน














เมื่อถึงแก่เวลาไกด์หยกก็พาพวกเราขึ้นรถและเดินทางไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารในเมืองลา เมื่อไปถึงเมืองลาพวกเรารู้สึกได้เลยว่าเมื่อจีนมีการพัฒนาที่เร็วมาก มีตึกต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งรถยนต์ก็ขับขี่กันอย่างพลุกพล่าน วัยรุ่นส่วนใหญ่จะแต่งตัวตามแฟชั่น

เมื่อถึงร้านอาหารพวกเราลงจากรถ พนักงานในร้านตั้งขบวนมารับพวกเราที่ทางหน้าประตู เหมือนกับคุ้มขันโตกภาคเหนือของเราเลยครับ อาหารส่วนใหญ่มื้อนี้ จะมัน มัน ได้แก่ สาหร่ายป่น ผักต้ม เฝอ ปลานึ่งมะนาว หูหมู ไก่ทอด และข้าวเหนียว มื้อนี้พวกเราทานได้น้อย เพราะเพลิดเพลินกับการแสดงบนเวที ที่บอกกล่าวถึงเรื่องราวของชายไทลื้อ





หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว ไกด์หยกแจ้งกับพวกเราว่า ประมาณ 17.30 น. ของเมืองจีน (เวลาเมืองจีนจะเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชม.) จะพาพวกเราชมการแสดงที่โรงละครแห่งเมืองพาราณศี เมื่อพนักงานขับรถพาพวกเรามาถึงโรงละครแห่งเมืองพาราณศี ไกด์หยกก็นัดแนะว่าถ้าหากหลงก็ให้มารอที่จุดนัดพบ เพราะมีนักท่องเที่ยวมาชมกันมาก แต่ในคืนนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวจีน มีแต่พวกเรากลุ่มเดียวเท่านั้นในคืนนี้ที่เป็นชาวไทย



ไกด์หยกพาพวกเราไปนั่งหน้าสุด เพื่อที่จะได้สัมผัสการแสดงบนเวทีอันอลังการ และน่าตื่นเต้น เมื่อการแสดงเริ่มขึ้น ก็จะมีพิธีกรพูดเป็นภาษาไทลื้อ ซึ่งพวกเราฟังไม่ออกหรอกครับ แต่พวกเราก็ทราบว่าจะเป็นการแสดงอะไรบ้าง เพราะข้างเวทีการแสดง จะมีตัวอักษรภาษาไทยแสดงผ่านจอภาพบอกถึงการแสดงแต่ละชุดในค่ำคืนนี้ พวกเราสนุกและตื่นเต้นในโชว์แต่ละชุด โดยส่วนใหญ่จะบอกถึงประเพณี วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ของชาวจีน ชาวลาว ชาวไทย











พวกเราเพลิดเพลินการแสดงจนเต็มอิ่มประมาณ 2 ชม. ไกด์หยกก็พาพวกเราเข้าสู่ที่พักที่โรงแรม โขงซิง ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 2 ดาว ของเมืองจีน ที่พักสะอาดดีครับ




เมื่อพวกเราอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ออกย่ำตาตรีที่ถนนคนเดินต่อครับ ของที่ถนนคนเดินเมืองจีนส่วนใหญ่เป็นของที่ระลึก จำพวกหยก พวงกุญแจ แต่ต้องถามราคาให้แน่นอนนะครับ เพราะการสื่อสารภาษาอาจเข้าใจไม่ตรงกัน หลังจากได้ของที่ระลึกแล้วพวกเราจึงเดินทางกลับโรงแรมโขงซิงเพื่อพักผ่อน






รุ่งเช้าประมาณ 05.30 น. ไกด์หยกมารับพวกเราและพาพวกเราไปทานอาหารเช้าต่อของโรงแรมโขงซิงเก่า ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันเท่าไรนัก เช้านี้อาหารที่โรงแรมประกอบไปด้วย มันโถ เฝอ ไข่ต้ม ผัดผัก



หลังจากอิ่มอาหารมือเช้าแล้ว พวกเรามีโปรแกรมเดินทางต่อไปเที่ยวป่าดงดิบเพื่อชมฝูงนกยูงที่จะบินลงมากินอาหาร ตอน 7 โมงเช้า เมื่อรถเข้ามาถึงสถานป่าดึกดำบรรพ์ บรรยากาศก็บ่งบอกให้รู้เลยว่าที่นี่ก็เป็นสวนสัตว์แห่งหนึ่งอีกเช่นกัน หลังจากที่รถจอดให้พวกเราลงแล้ว เราก็เห็นคนมุงดูอะไรซักอย่างหนึ่ง เมื่อพวกเราเข้าไปใกล้ ๆ ก็เห็นเจ้าหมีหมาตัวหนึ่งยืนให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป ดูแล้วไม่น่าเชื่อเลย ว่าสัตว์ป่าอย่างเช่นหมีหมาจะเชื่องอะไรปานนั้น โดยคนที่ไปถ่ายด้วยจะต้องเสียค่าถ่ายคนละ 5 หยวน



จากนั้นรถรางก็มารับพวกเราไปลานให้อาหารนกยูง เมื่อได้เวลาและนักท่องเที่ยวมารอจนเต็มลานชมนกยูง เจ้าหน้าที่ก็เป่านกหวีดเรียกนกยูงทันที นกยูงบินลงมาจากยอดเขาภายในป่าจำนวนมาก เมื่อเห็นแล้วต้องทึ่งเลย เมื่อเต็มอิ่มกับฝูงนกยูง






ไกด์หยกก็พาพวกเราเราไปยังหมู่บ้านโม้ง ที่อยู่ภายใต้การดูแลของที่นี่ การไปชมนั้นต้องข้ามสะพานไม้ยาวประมาณ 500 เมตร ที่ทอดยาวเชื่อเขาสองลูกด้วยกัน ดูแล้วเสียวดีแฮะ เมื่อไปถึงจะมีอาลี่ (ชายหนุ่ม) และอาปู้ (หญิงสาว) ชาวม้งยืนต้อนรับอยู่ที่หน้าหมู่บ้าน ชาวม้งสาธิตประเพณี และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ในอดีต แต่ปัจจุบันในสายตาของผมชาวม้งน่าจะเปลี่ยนแปลงจากอดีตไปมากพอสมควร หลังจากได้ความรู้และเพลิดเพลินจุดต่อไปก็คือน้ำตกมังกร โดยต้องข้ามสะพานไม้อันเดิมกลับไป แต่ที่หมู่บ้านม้งนี้ยังมีบริการใช้ลอกโหนข้ามเขาโดยคิดค่าบริการครั้งละ 20 หยวน ผมสไตล์บู้อยู่แล้ว จึงไม่พลาดโอกาสที่จะได้ทดลอง สนุกดีครับอยากจะโหนอีกรอบเหมือนกัน






เมื่อข้ามมาถึงน้ำตกมังกรผมก็ชื่นชมซักพัก เพื่อน ๆ ที่เดินทางมาด้วยบอกว่าเป็นน้ำตกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ผมดูแล้วไม่น่าใช่เพราะดูจากหินโขดหินและสัญลักษณ์ต่าง ๆ บน หน้าผาที่น้ำตกลงมาดูเหมือนมีคนทำเอาไว้เลย ไม่นานนักก็มีการแสดงการตีกลองของชาวม้งอีกครั้งบริเวณลานแสดงใกล้ ๆ กับน้ำตกมังกร


หลังจากชมการแสดงเสร็จไกด์หยกก็พาพวกเราออกเดินทาง กลับเส้นทางเดิน เพื่อไปซื้อหยกที่เป็นศูนย์จำหน่ายของรัฐบาล ไกด์หยกบอกว่าหยกที่นี่เป็นของแท้แน่นอนเพราะเป็นของรัฐบาลจีน เป็นศูนย์จำหน่ายหยกจริง ๆ จึงทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว มาจับจ่ายเพื่อนำไปเป็นของที่ระลึก




หลังจากได้หยกของที่ระลึกแล้ว ไกด์หยกก็พาพวกเรามาทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารเดิมที่เมืองกาลั่นป้าโดยอาหารเหมือนตอนที่พวกเรามาเมื่อวานนี้ครับ เมื่ออิ่มแล้วไกด์หยกก็พาพวกเรามายังด่านตรวจคนเข้าเมืองจีน และช่วยเหลือพวกเราทำเรื่องผ่านแดนกลับไปยังลาว โดยไกด์หยกมาส่งพวกเราที่บ่อเต็นด่านตรวจคนเข้าเมืองลาวแล้วจึงลาพวกเรา
ผมเก็บพาสปอร์ตเพื่อน ๆ ในกลุ่มทั้งหมดเพื่อสะดวกในการทำเรื่องกลับมายังประเทศลาว โดยเสียค่าใช้จ่ายอีกคนละ 30 บาท พร้อมกับจ่ายกับค่าจอดรถให้กับเจ้าหน้าที่ ที่คอยดูแลให้อีก 200 บาท จากนั้นพวกเราก็กลับมาพักยังหลวงน้ำทา
ครั้งนี้พวกเราเดินทางมาเที่ยวเมืองสิงก่อน เนื่องจากว่าเมืองสิงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของหลวงน้ำทา คือห้องแสดงชนเผ่าเมืองสิง ภายในก็จะมีข้าวของเครื่องใช้ และชุดประจำชนเผ่าต่าง ๆ อาทิเช่น ม้ง มูเซอ เย้า เป็นต้น










จากนั้นพวกเราเดินทางออกจากเมืองสิง และเดินทางไปยังพระธาตุหลวงหลวงน้ำทา ที่เป็นที่สถานที่นับถือของชาวหลวงน้ำทา





จวบจนเวลาเย็นท้องเริ่มร้องพวกเราจึงหาอาหารทานที่ร้านอาหารบริเวณหลวงน้ำทา จากนั้นจึงเดินทางไปพักที่โรงแรมดอกจำปาที่เดิมอีกครั้ง รุ่งเช้าพวกเราเช็คเอ้าท์และไปทานอาหารเช้าที่ตลาดเช้าหลวงน้ำทาเช่นเคย



<<กลับไปอ่านหน้า 2>><<อ่านต่อหน้า 4>>
DotE
LastUpdate ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2552 - 23:32:49 น.
 
Information ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เจ้าของระบบไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือ ชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม กรุณาแจ้งที่ Email annop_nanya@hotmail.com เพื่อให้ผู้ควบคุมระบบทราบและทำการลบข้อความนั้น ออกจากระบบต่อไป
 
Copyright © 2009 www.annaontour.com. All rights reserved.
Untitled Document
สถิติผู้เข้าชม ขณะนี้มีผู้ชมอยู่ 1 ราย