ชิมชา ชมดอกไม้เมืองหนาว ช็อปปิ้งตลาดท่าขี้เหล็ก ขอพรที่วัดถ้ำป่าอาชา หากพูดถึงเรื่องการท่องเที่ยวในช่วงปีใหม่แล้ว ทุกคนก็ต้องบอกว่าภาคเหนือสวยที่สุดแล้ว เพราะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว อากาศจะเย็นสบาย และจะได้สัมผัสสายลม ชมสายหมอก ที่เรียกว่า "ทะเลหมอก" จากหลายสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดแทบภาคเหนือ การเดินทางส่งท้ายปีเก่าของพวกเราในปีนี้ จึงตัดสินใจที่จะเดินไปยังภาคเหนือ ที่ที่ใครต่อหลายคนมุ่งหน้าเดินทางเหมือนพวกเรา ผมแอนนาขาลุย ป้อมปี่ ยูมิโกะ และเด็กญี่ปุ่น จึงเริ่มออกเดินทางตั้งแต่เย็นวันที่ 26 ธันวาคม มุ่งหน้าสู่ จ.เชียงราย พร้อมกับพาหนะคู่ใจ รถยนต์ส่วนบุคคล โดยใช้พลังงานจากน้ำมันเบนซิน และพลังงานก๊าซ LPG โดยออกเดินทางจากเส้นทางบางบัวทอง ออกไปทางเส้นสุพรรณบุรี ชัยนาท ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 340 โดยจะไปออกเส้นทางหลวงหมายเลข 1 ก่อนจะถึง จ.นครสวรรค์ เพื่อเลี่ยงปัญหารถติดในขาดออก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทาง จ.พิษณุโลก ออกทางอุตรดิตถ์ เข้าสู่ จ.แพร่ ทะลุเข้าสู่ จ.เชียงราย ทางนี้สามารถใช้พลังงานจากก๊าซ LPG หรือ พลังงานจากก๊าซ NGV ได้ตลอดทั้งเส้นทางการเดินทาง ระยะทางที่พวกเราเริ่มเดินทางขาไปประมาณ 900 กว่ากิโลเมตร
พวกเราเดินทางถึงเชียงรายก็อยู่ในช่วงพอดี จึงได้มีโอกาสชมสถาปัตยกรรมความสวยงามของวัดร่องขุ่น โดยมีอาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เป็นโต้โผในการสร้างวัดนี้ขึ้นมา เมื่อ พ.ศ. 2540 วัดร่องขุ่นเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในหมู่บรรดานักท่องเที่ยว หากเดินทางไปถึงวัดร่องขุ่นในยามเช้า นักท่องเที่ยวก็จะได้พบกับสายหมอกบาง ๆ รายล้อมวัดสีขาว มีแสงแดดทอแสงมากระทบกับผลึกแก้ว ก่อให้เกิดประกายระยิบระยับสวยงามอย่าบอกใครในตอนเช้า ภายในวัดยังมีสิ่งปลูกสร้างที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง อาทิ ห้องน้ำ ห้องแสดงภาพวาดของท่านอาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และภายในยังมีของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวได้นำไปเป็นของฝากอีกด้วย พวกเราเก็บภาพถ่ายและความประทับใจในยามเช้าจนอิ่มแป้ ก็เดินทางเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย
วัดร่องขุ่น
วัดร่องขุ่น
สถาปัตยกรรมวัดร่องขุ่น
สถาปัตยกรรมวัดร่องขุ่น
พวกเราผ่านกำแพงเมืองเชียงราย และ อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช แต่ไม่ได้ลงจากรถยนต์ เนื่องจากไม่มีที่จอดรถยนต์ จึงได้แต่ทำความเคารพบนรถยนต์ จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่วัดกลางเวียง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองเชียงราย พวกเราจอดรถยนต์แล้ว จึงแวะเข้าไปนมัสการเสาหลักเมืองเชียงราย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดกลางเวียง
กำแพงเมืองเชียงราย
วัดกลางเวียง
เสาหลักเมืองเชียงราย
เราใช้เวลาไม่นานจึงออกเดินทางต่อ พวกเรามุ่งหน้าไปทางหอนาฬิกาเชียงราย ซึ่งด้านหลังของหอนาฬิกาเชียงรายจะคับคั่งไปด้วยร้านอาหารจำนวนมาก ที่มีให้เห็นอยู่สองข้างทาง มื้อเช้านี้ จึงขอเป็นอาหารร้อน ๆ จะดีกว่าเพราะอากาศที่เชียงรายค่อนข้างจะเย็น หลังจากได้จอดรถยนต์แล้ว พวกเราสอดส่ายสายตามองหาร้านเกาเหลาเลือดหมูทันที และก็ไม่ผิดหวังที่ได้ชิมเกาเหลาเลือดหมูที่ร้านสหรส แต่เนื่องด้วยความหิว จึงทำให้พวกเราลืมเก็บภาพเกาเหลาในชาม เพราะมองไปอีกทีชามว่างเปล่าไม่มีอะไรแล้ว (เดี๋ยวจะขอแก้ตัวเก็บร้านอาหารในช่วงบ่ายมาฝากแทน)
ร้านอาหารสหรส
ร้านข้าวต้มเลือดหมูสหรส
ร้านข้าวต้มเลือดหมูสหรส
หลังจากอิ่มหมีพลีมัน กันในช่วงเช้ากันแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไปคือ ดอยตุง (ตุง หมายถึง ธง , ชัยชนะ , คำถวายพุทธบูชาในพระพุทธศาสนา ) ในการเดินทางขึ้นไปยังดอยตุงนี้ พวกเราตั้งใจว่าจะขึ้นไปเที่ยวชมทุกจุด แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจอีกครั้งเมื่อเห็นรถยนต์ที่จอดอยู่ข้างทางระหว่างทางขึ้นดอยตุงยาวประมาณ 2 กิโลเมตร พวกเราจึงตัดสินใจเที่ยวชมในส่วนของพระตำหนักดอยตุง และสวนแม่ฟ้าหลวง ป้อมปี่ไปต่อคิวซื้อบัตรก่อนเพราะแถวยาว ส่วนผมหาที่จอดรถยนต์ เมื่อได้ที่จอดรถยนต์แล้วก็นัดเจอกับป้อมปี่ที่ทางเข้าพระตำหนักดอยตุง ก่อนจะถึงทางเข้านักท่องเที่ยวจะสังเกตเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งรายล้อมด้วยผ้าไหมสีทองสวยงาม ตอนแรกพวกเราไม่คิดอะไรแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ จึงเดินไปสอบถามเจ้าหน้าที่ และได้คำตอบมาว่าผ้าไหมที่อยู่บนต้นไม้นั้นจะมีการเปลี่ยนตามราศีนั้น ๆ จึงทำให้แต่ละราศีมีสีของผ้าไหมและรูปบนผ้าไหมไม่เหมือนกัน
พระธาตุดอยตุง
พระธาตุดอยตุง
หลังจากป้อมปี่มาถึงทางเราได้ยื่นบัตรเข้าชมพระตำหนักในราคาใบละ 150 บาท คนละ 1 ใบ โดยการเข้าชมนั้นนักท่องเที่ยวต้องแต่งกายให้สุภาพ หากนุ่งกางเกงขาสั้นหรือเสื้อแขนกุดทางเจ้าหน้าที่จะมีบริการให้เปลี่ยนชุดเข้าไป จากทางเข้าพระตำหนักดอยตุง จะสังเกตเห็นดอกไม้จำนวนมาก หลากสีสันเต็มสองข้างทางไปหมด แต่การเข้าชมพระตำหนักดอยตุง ต้องเข้าชมเป็นรอบ 1 รอบใช้เวลาประมาณ 30 นาที เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้เข้าชมด้านในและอธิบายรายละเอียดภายในตัวพระตำหนักดอยตุง โดยไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภาพในตัวพระตำหนักดอยตุง (บนพระตำหนักดอยตุงสามารถมองเห็นสวนแม่ฟ้าหลวง และวิวของภูเขา ป่าไม้ได้สุดไกลสายตา)
ดอยตุง
บัตรเข้าชมพระตำหนักดอยตุง และสวนแม่ฟ้าหลวง
พระตำหนักดอยตุง
หลังจากเดินทางออกจากพระตำหนักดอยตุง พวกเราก็เดินทางเท้ามาถึงทางเข้าสวนแม่ฟ้าหลวงที่อยู่ไม่ไกลกันซักเท่าไร โดยยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่ทำสัญลักษณ์การเข้าชมอีกใบในราคาใบละ 150 บาท พวกเราลงไปตามขั้นบันได เดิมชมสถานที่ท่องเที่ยว พันธุ์ไม้ ดอกไม้นานาชนิด น้ำตก และที่เป็นไฮไลท์ก็คือบริเวณสวนดอกไม้แม่ฟ้าหลวง ซึ่งมีดอกไม้นานาพันธ์ปลูกเรียงรายเป็นระเบียบอย่างสวยงาม หากได้นั่งมองแล้วไม่อยากจะลุกไปไหน และถ้าหากเดินทางมาถึงสวนแม่ฟ้าหลวงก็ไม่ควรพลาดอีกอย่างหนึ่งก็คือ กาแฟดอยตุง หากมาแล้วไม่ได้ลิ้มลองก็เหมือนมาไม่ถึงดอยตุง ดื่มกาแฟ แล้วชมดอกไม้ไปด้วยได้บรรยากาศดี
สวนแม่ฟ้าหลวง
สวนแม่ฟ้าหลวง และร้านกาแฟดอยตุง
สวนแม่ฟ้าหลวง
สวนดอกไม้แม่ฟ้าหลวง
เพลิดเพลินกับความงามของดอกไม้ ลิ้มรสความอร่อยของกาแฟดอยตุง แต่ท้องยังร้องอยู่ก็ต้องไปต่อครับ จุดหมายต่อไปของพวกเราคือตลาดท่าขี้เหล็ก ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ตลาดท่าขี้เหล็กเป็นตลาดพรมแดนไทยพม่า เป็นแหล่งสินค้าปลอดภาษี ที่มีอยู่มากมาย ที่ตลาดท่าขี้เหล็กสามารถเดินทางเที่ยวชมพระเจดีย์ชเวดากองจำลองได้ ซึ่งอยู่ห่างจากด่านตรวจคนเข้าเมืองประมาณ 1 กิโลเมตร (ก่อนจะเข้าตลาดท่าขี้เหล็กนักท่องเที่ยวทุกคนควรทราบไว้ว่า ต้องทำเอกสารผ่านแดนที่ว่าการอำเภอแม่สายก่อนนะครับ เพราะที่หน้าด่านไม่มีบริการหนังสือผ่านแดน แต่ถ้าหากมีพาสปอร์ตอยู่แล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ที่ว่าการอำเภอแม่สาย
สถานที่ทำเอกสารผ่านแดน
พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช
ก่อนที่จะเข้าตลาดท่าขี้เหล็ก พวกเรามองหาร้านอาหารเด็ด ๆ ในอำเภอแม่สายอยู่และก็เหลือบไปเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวปลาจีจี้ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เลยต้องจอดรถเข้าไปลิ้มรสก๋วยเตี๋ยวปลาว่าจะอร่อยเหมือนกับที่คนอื่นเข้ามาอย่างไม่ขาดสายหรือเปล่า ภายในร้านสะอาดครับ บรรยากาศก็ดีไม่ร้อน ที่สำคัญแม่ค้าพูดเพราะ ภายในร้านก๋วยเตี๋ยวปลาจีจี้ ตกแต่งด้วยรูปคนที่มีชื่อเสียงเคยแวะเวียนเข้ามาทานแล้ว จึงทำให้ความหิวเพิ่มทวีคูณ จึงหยิบเมนูรายการอาหารมาปรากฏว่าร้านนี้อาหารทุกอย่าง มีปลากะพงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร ได้แก่ ข้าวต้มปลากะพง ก๋วยเตี๋ยวปลากะพง ปลากะพงผัดคื่นฉ่าย ปลากะพงผัดกระเพรา ลวกจิ้มปลากะพง เกาเหลาปลากะพง ต้มยำปลากะพง ยำเนื้อปลากะพง พวกเราสั่งก๋วยเตี๋ยวปลากะพงมาคนละชาม และก็ไม่ผิดหวัดในความรสชาติ และความอร่อยของร้านก๋วยเตี๋ยวปลาจีจี้ ต้องขอยกนิ้วให้ครับ
ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาจีจี้
ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาจีจี้
ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาจีจี้
ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาจีจี้
ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาจีจี้
ร้านก๋วยเตี๋ยวปลาจีจี้
ผัดกระเพาปลากะพง
ยำปลากะพง
ก๋วยเตี๋ยวปลากะพง
อิ่มอร่อยแล้วก็เดินทางต่อไปยังตลาดท่าขี้เหล็ก ขอบอกว่าที่จอดรถหายากมากเลย ขับรถวนสองรอบกว่าจะหาที่จอดรถเจอเล่นเอาเหนื่อย หลังจากยื่นเอกสารที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองไม่นาน ก็เดินทางเท้าเข้ามาประมาณ 200 เมตร ก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศที่ตลาดท่าขี้เหล็กที่ครึกครื้นไปด้วยบรรดาพ่อค้าแม่ค้า ชาวไทย ชาวพม่าจำนวนมาก วิ่งตรงเข้ามาที่ผมพร้อมเสนอขายสินค้าหลายชนิด อาทิ บุหรี่, ยาชูกำลัง, ซีดีหนัง, ของแบรนด์เนม แต่พวกเราขอเดินเลือกซื้อสินค้าเองดีกว่า น่าจะต่อรองราคาได้ดีกว่านี้ เวลาปาเข้าไปประมาณเกือบ 5 โมงเย็น พวกเราจึงข้ามฝั่งมายังประเทศไทย
ตลาดอำเภแม่สาย
ด่านตรวจคนเข้าเมืองไทย พม่า
ตลาดอำเภอแม่สาย
ตลาดอำเภอแม่สาย
ตลาดท่าขี้เหล็ก
ตลาดท่าขี้เหล็ก
ก่อนกลับพวกเราแวะขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยเวาก่อน เพื่อเป็นสิริมงคล โดยทางขึ้นจะชันมาก แต่ถ้าหากขึ้นไม่ไหวจะมีมอเตอร์ไซด์รับจ้างขึ้นลงเที่ยวละ 10 บาท คอยให้บริการอยู่ด้านล่าง พระธาตุดอยเวา ตั้งอยู่ที่ ตำบลแม่สาย บนดอยริมฝั่งแม่น้ำแม่สาย ตามประวัติกล่าวว่า พระองค์เวาหรือเว้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนก เป็นผู้สร้างเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุองค์หนึ่งเมื่อ พ.ศ. 364 นับเป็นพระบรมธาตุที่เก่าแก่องค์หนึ่งรองมาจากพระบรมธาตุดอยตุง ด้านบนมีรูปปั้นของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งหันพระพักตร์ไปทางประเทศพม่า และบนพระธาตุดอยเวา ยังสามารถมองเห็นวิวของประเทศไทยได้กว้างไกล และสามารถมองเห็นเจดีย์ชเวดากองจำลอง และวิวเทือกเขาของประเทศพม่าได้สุดสายตา
วัดพระธาตุดอยเวา
พระธาตุดอยเวา
ทางขึ้นพระธาตุดอยเวา
หอชมภูมิทัศน์ประเทศไทย ประเทศพม่า
ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ปราสาทไพชยนต์
ประเทศพม่า
พระเจดีย์ชเวดากองจำลอง
รูปปั้นแมงป่องช้าง ซึ่ง หมายถึง เวา
เมื่อลงจากยอดพระธาตุดอยเวา พวกเราก็เตรียมมุ่งหน้าสู่ดอยแม่สลอง คืนนี้กะว่าจะไปพักที่บนดอยแม่สลอง และถ้าโชคดีคงได้เห็นดอกซากูระบานเต็มดอย (ดอกนางพญาเสือโคร่ง จะมีสีชมพูคล้ายดอกซากูระ) จากด่านชายแดนไทยพม่า ห่างจากทางเข้าดอยแม่สลองประมาณ 40 กว่ากิโลเมตร กว่าพวกเราจะไปถึงก็มืดแล้ว และทางขึ้นไปบนดอยแม่สลองก็ชัน แต่ก็ยังเห็นบ้านคนอยู่ตามรายทาง พวกเรารีบบึ่งรถไปยังบนดอยแม่สลองโดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงบนดอยแม่สลอง ผมสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปมากบนดอยแม่สลอง อาทิเช่น ที่พักก็เกิดขึ้นมากมายหลายแห่ง และอีกหลายแห่งที่เคยเป็นที่พักแบบธรรมดา ก็ปรับตัวเองเป็นที่พักระดับหรู แถมยังมีบริการเต็นท์อีกด้วย ส่วนร้านอาหารก็มีให้เลือกมากมาย และที่สำคัญบนดอยแม่สลองมีร้านอินเตอร์เน็ตประมาณ 2 ร้าน ให้บริการลูกค้า โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กชาวเขา และเด็กชาวจีนยูนนานบนดอยแม่สลอง
รีสอร์ทดอยหมอกดอกไม้ ที่พึ่งสร้าง
โรงแรมเซ็นทรัลฮิลล์
ร้านอินเตอร์เน็ตบนดอยแม่สลอง
พวกเราตระเวนหาที่พัก แต่ส่วนใหญ่จะเต็มหมด แต่เผอิญเป็นความโชคดีของพวกเราที่เหลือบไปเห็นที่พักเปิดใหม่แห่งหนึ่ง ซึ่งราคาห้องก็ไม่แพง แค่คืนละ 500 บาท ในช่วงเทศกาล และถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลจะอยู่ที่ราคาประมาณ 300 บาท ต่อคืน ชื่อคิว บริการห้องพัก ห้องพักจะเป็นห้องธรรมดา ไม่มีเตียงแต่มีฟูก และผ้าห่มหนา ๆ ให้ ไม่มีทีวี และเป็นห้องน้ำแบบรวม แต่ไม่ก็ถือว่าใช้ได้ เพราะห้องพักสะอาด พวกเราจึงตัดสินใจพักที่ คิว บริการห้องพัก
่ร้านคิว บริการห้องพักราคาถูก 300-500 บาท ถ่ายภาพตอนเช้า
ภายในร้ายคิวบริการห้องพัก
ที่นอนห้องพักคิว
เมื่อนำของลงจากรถแล้ว พวกเราก็เดินทางไปยังร้านน้องอิ่มโภชนา ซึ่งเป็นร้านที่พวกเราใช้บริการเกือบทุกครั้งที่มาบนยอดดอยแม่สลอง ปัจจุบันร้านเจ้อิ่มโภชนา มีสองสาขาแล้ว ร้านอิ่มโภชนา กับร้านน้องอิ่มโภชนา ซึ่งร้านที่สองนี้เป็นร้านของลูกสาวเจ้อิ่มเอง และร้านนี้มีลูกค้าหมุนเวียนเข้ามาใช้บริการบ่อยอย่างไม่ขาดสาย พวกเราสั่งอาหารขึ้นชื่อบนดอยแม่สลอง อาทิ มันโถ ผัดผักกว้างตุ้ง ต้มจืดเต้าหู้ ยำยอดใบชา เป็นต้น รสชาติและฝีมือยังคงเหมือนเดิม หลังจากอิ่มแล้ว จึงเดินทางเข้าสู่ที่พัก เนื่องจากอ่อนล้ามาตั้งแต่เมื่อคืนที่เดินทางมาจากกรุงเทพ
ร้านอาหารน้องอิ่มโภชนา
บรรยากาศภายในร้านน้องอิ่มโภชนา
อาหารที่ร้านน้องอิ่มโภชนา
ผัดน้ำมันเห็ด
แกงจืดเต้าฮู้ร้อน ๆ
รุ่งเช้าพวกเราตื่นตั้งแต่เช้าที่จะมาสัมผัสกับไอแดด และอากาศที่เย็นสดชื่นบนดอยแม่สลอง พวกเราได้มีโอกาสรู้จักกับพี่ยิ่งคนดูแลห้องพักคิว บริการห้องพัก แนะนำพวกเราว่าข้างบนตึกยังเป็นลานกางเต็นท์ และยังเป็นสถานที่ชมวิวบนดอยแม่สลองที่สวยงามจุดหนึ่ง พวกเราจึงขึ้นไปบนดาดฟ้า และก็ไม่ผิดหวังเมื่อเห็นบรรยากาศบนดอยแม่สลองได้อย่างงดงามแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้
วิวสวย ๆ บนดอยแม่สลองจากมุมบนตึกคิวบริการห้องพัก
วิวสวย ๆ บนดอยแม่สลองจากมุมบนตึกคิวบริการห้องพัก
วิวสวย ๆ บนดอยแม่สลองจากมุมบนตึกคิวบริการห้องพัก
วันนี้เหมือนเป็นวันที่โชคดีสำหรับพวกเรา เพราะว่าวันที่เรามาถึงเป็นช่วงเทศกาลชิมชาบนดอยแม่สลองพอดี จึงทำให้คึกคักไปด้วยร้านค้าจากหมู่บ้านต่าง ๆ ชาวเขาผ่าต่าง ๆ ร้านจำหน่ายชาจำนวนมากมาเปิดร้านเต็มสถานที่ โดยงานเทศกาลชิมชาจะเริ่มอีกทีก็อยู่ในช่วงเย็น ๆ ตอนเช้าพวกเราจึงรีบไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่แรกได้แก่พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสฤตมหาสันติคีรี ระหว่างทางขึ้นพวกเราจะต้องผ่านหมู่บ้านทหารผ่านศึก ซึ่งหมู่บ้านนี้มีเหล่าทหารที่เคยผ่านสมรภูมิการรบสมัยท่านนายพลต้วน
หมู่บ้านทหารผ่านศึก
หมู่บ้านทหารผ่านศึก
หมู่บ้านทหารผ่านศึก
หมู่บ้านทหารผ่านศึก
ความเป็นอยู่ของทหารที่หมู่บ้านทหารผ่านศึก
พวกเราแวะชมความเป็นอยู่ของซักครู่ก็รีบเดินทางขึ้นยอด พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสฤตมหาสันติคีรี ต่อ ระหว่างทางขึ้นเป็นเขาลาดชันกว่าตอนขึ้นมาซะอีก เมื่อถึงยอด พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสฤตมหาสันติคีรี พวกเราได้สักการะ พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสฤตมหาสันติคีรี แล้ว ก็ชมวิวด้านบนสุดบนยอดดอยแม่สลองแห่งนี้ ซึ่งมองกี่ทีก็ไม่เบื่อ เพราะสามารถมองเห็นหมู่บ้านบนดอยแม่สลองได้ทั้งหมด และยังสามารถมองเห็นภูเขาที่เป็นไร่ชาได้อีกไกล แต่เสียดายที่ดอกซากูระยังไม่บาน ไม่งั้นเราคงได้เห็นดอยแม่สลองเป็นสีชมพูแน่นอน
พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสฤตมหาสันติคีรี
พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสฤตมหาสันติคีรี
พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสฤตมหาสันติคีรี
วิวด้านบนจากพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสฤตมหาสันติคีรี
วิวด้านบนพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสฤตมหาสันติคีรี
หลังจากได้ชม พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสฤตมหาสันติคีรี แล้ว พวกเราก็ลงมาด้านล่าง จากนั้นจึงเดินทางไปเคารพ สุสานนายพลต้วน ต่อทันที ระหว่างทางขึ้นจะมีร้านอาหาร และรีสอร์ท ที่เป็นลูกหลานของนายพลต้วนชื่อว่าคุ้มนายพล
ทางขึ้นไปสุสานนายพลต้วน
สุสานนายพลต้วน
สุสานนายพลต้วน
หลังจากได้ทำความเคารพที่หลุมฝังศพนายพลต้วนแล้ว จึงเดินทางลงมาทานอาหารมื้อเช้า + กลางวัน ที่ร้านอาหารคุ้มนายพล บรรยากาศร้านดูดีมากทีเดียว ร้านกว้างขวาง สะอาด การบริการถือว่าอยู่ในระดับดีทีเดียว และอาหารยังมีรสชาติถูกปากไม่แพ้ที่ไหน ๆ อีกต่างหากครับ
คุ้มนายพลรีสอร์ท
คุ้มนายพลรีสอร์ท
ร้านอาหารคุ้มนายพล
ต้มยำรวมมิตรที่ร้านอาหารคุ้มนายพล
ผัดเผ็ดไก่ดำร้านอาหารคุ้มนายพล
ผัดกระเพาร้านอาหารคุ้มนายพล
อิ่มอร่อยอีกแล้วครับท่าน ก็เดินทางไปชิมชาที่ขึ้นชื่อบนดอยแม่สลองกันต่อที่ไร่ชา 101 ที่นี่เป็นไร่ชาที่ใหญ่แห่งหนึ่งบนดอยแม่สลอง การผลิตชาก็ล้วนแล้วคัดสรรคุณภาพจริง ๆ จึงไม่ผิดหวังหากจะมาซื้อชาไปเป็นของฝากคนทางบ้านได้เป็นอย่างดี
ไร่ชา 101 ดอยแม่สลองนอก
เก็บชา ที่ไร่ชา 101
การเก็บชา
ยอดใบชา
การอบใบชา
ชิมชาที่ ไร่ชา 101 ดอยแม่สลองนอก
เหนื่อย+อิ่มชาแล้วสำหรับวันนี้ เพราะไปทางไหนก็เรียกชิมแต่ชาทุกร้าน จึงอยากจะกลับไปพักผ่อน แต่เผอิญขากลับเหลือบไปเห็นร้านกาแฟอยู่บนดอยแม่สลองอยู่ร้านหนึ่ง ชื่อสวีทแม่สลอง ดูแล้วน่าสนใจดี จึงจอดรถยนต์ แล้วเข้าไปในร้าน บรรยากาศดูดีมากเลยขอบอก โรแมนติกดี ถ้าได้พาคู่รักไปนั่งทานกาแฟ สัมผัสกับอากาศเย็น ๆ ชมดอกซากูระบานตรงระเบียงด้านหลังแล้วคงจะทำให้มีความสุขขึ้นอีกเป็นกอง ที่ร้านสวีทแม่สลองมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ มักจะเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เพราะที่นี่กาแฟเด็ด ๆ เข้มข้น ถูกคอกาแฟอย่างผมมาก และที่สำคัญ อาหารประเภทเค้ก (ไม่รู้ว่าเรียกยังไงจำไม่ได้) แต่รู้ว่าสีสัน และรสชาติอร่อย ๆ จริง ๆ ประมาณว่าถ้าเป็นผมให้คะแนนให้ 5 ดาวเลยละกัน (รูปขนมเค้กไม่มีนะ ไม่ทันถ่ายหมดแล้วอะ)
หน้าร้านสวีทแม่สลอง
เจ้าของร้านสวีทแม่สลอง
บรรยากาศภายในร้านเย็นสบาย โรแมนติกมัก ๆ
คลาสสิคดี
จิบกาแฟบนดอยแม่สลอง ที่ร้านสวีทแม่สลอง
่ขนมปังนุ่ม ๆ
คาปูชิโน่เย็น ๆ ที่ร้านสวีทแม่สลอง
โกโก้เย็น ๆ ที่ร้านสวีทแม่สลอง
นั่งสัมผัสลมเย็น ๆ ชมวิวบนดอยแม่สลอง
จิบกาแฟอร่อย ๆ สัมผัสลมเย็น ๆ บนดอยแม่สลอง
อิ่มอร่อยสดชื่นพอดีวันนี้วันนี้จึงไม่ตัดสินใจกินข้าวเย็นดีกว่า ไปเที่ยวงานเทศกาลชิมชาต่อทันที ฟ้าเริ่มสางคนก็เริ่มเยอะ ชาวเขา มูเซอ ปากะยอ ชาวจีนยูนนาน และนักท่องเที่ยวจากเมืองกรุงเดินทางมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก ทำให้บรรยากาศครึกครื้น การแสดงบนเวทีของนักเรียนโรงเรียนบ้านสันติคีรีก็ดูอลังการ การร่วมกิจกรรมของชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ก็มากมาย โดยเฉพาะมีการละเล่นของแต่ละเผ่าที่หาดูได้ยากมาก ร้านชาแต่ละร้านก็ประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงรายล้อมทั่วงาน วันนี้จึงทำให้เป็นวันที่เรามีสนุกกับการเดินทางมาก ๆ วันหนึ่ง
เทศกาลชิมชา ซากูระบาน อาหารชนเผ่า ดอยแม่สลอง
การแสดงของนักเรียน เทศกาลชิมชาดอยแม่สลอง
ชนเผ่าจาบูสี ที่ดอยแม่สลอง
ชาวม้ง ก็มา
โคมไฟสีแดง ประดับร้านชาทุกร้าน
การละเล่นของชนเผ่า
รถแข่งขนเด็กชนเผ่า
เด็กชนเผ่าเดินขาหยั่งโชว์
ถึงเวลาก็เข้าที่พักครับ เพราะทนกับอากาศหนาวเย็น และความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไม่ไหว ขอพักผ่อนเอาแรงอีกคืนหนึ่งละกัน เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อไปยัง วัดถ้ำป่าอาชาทอง หรือ สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทอง ที่อำเภอแม่จัน ที่ใคร ๆ ก็รู้จักในสื่อต่าง ๆ ว่า พระขี่ม้าบิณฑบาต รุ่งเช้าพวกเรารีบตื่นและออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ อำเภอแม่จัน พวกเราลงจากดอยแม่สลองแล้ววิ่งสู่เส้นทางหลัก (ทางหลวงหมายเลข 1 ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 28 กิโลเมตร ) ทางเข้าวัดถ้ำป่าอาชาทอง มีป้ายบอกทางตลอด แต่ต้องขับรถเข้าไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร จึงจะถึงวัดถ้ำป่าอาชาทอง วัถถ้ำป่าอาชาทอง ตั้งอยู่ที่บ้านแม่คำ ตำบลศรีค้ำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ชาวบ้านซึ่งเป็นชาวเขาใช้ม้าแกลบ ในการเดินทางและบรรทุกสัมภาระ เหตุนี้ พระครูบาเหนือชัยโฆสิโต เจ้าอาวาสซึ่งเป็นอดีตนายทหารม้าเก่า จึงให้พระเณรที่นี่ใช้ม้าเป็นพาหนะในการออกบิณฑบาตไปยังหมู่บ้านเชิงเขาหรือที่เรียกว่าลานพระแก้ว เป็นระยะทางร่วม 5 กิโลเมตรทุกวัน ทุกเช้าเวลาประมาณ 07.00 - 07.30 น. จะมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวเดินทางมาเพื่อใส่บาตรบริเวณลานพระแก้วแห่งนี้
ทางไปวัดถ้ำป่าอาชาทอง
บริเวณสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทอง
วัดถ้ำป่าอาชาทอง
วัดถ้ำป่าอาชาทอง
วัดถ้ำป่าอาชาทอง
แต่พวกเราเถลไถล กว่าจะไปถึงวัดถ้ำป่าอาชาทองได้ ก็ปาเข้าไปถึงช่วงบ่าย ไม่ทันพระครูบิณฑบาต และพระครูก็อยู่ที่กุฏิแล้ว การเดินทางไปหาพระครูที่กุฏิต้องให้ทางวัดนำรถขับเคลื่อนสี่ล้อพาไป เพราะทางชันและถนนไม่ดี โดยก่อนหน้าที่พวกเราจะไปถึงที่กุฏิพระครูก็มีนักท่องเที่ยวและผู้ที่เลื่อมใสพระครู มาถึงก่อนหน้าเราแล้ว โดยบริเวณกุฏิที่พระครูอยู่ จะมีเด็กชาวเขา ที่พระครูนำมาฝึกให้รู้จักการทำงาน เลี้ยงม้า จำนวนมาก บริเวณกุฏิพระครูยังมีม้าที่ใช้บิณฑบาตอีกหลายม้า รวมทั้งมีถ้ำที่ใช้สำหรับปฏิบัติธรรม โดยสามารถให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ พวกเราเดินชมม้าที่เคยเข้าถ่ายทำละครหลายเรื่อง ได้แก่ คิงอาเธอร์ และม้าที่ใช้งานอื่น ๆ
พระครูบาเหนือชัยโฆสิโต
พระครูบาเหนือชัยโฆสิโต และลูกศิษย์
บริเวณใกล้กุฏิพระครูบาเหนือชัยโฆสิโต
เด็กชาวเขาที่พระครูบาเหนือชัยโฆสิโตนำมาฝึกทำงาน
ทางไปกุฏิพระครูบาเหนือชัยโฆสิโต
ม้าคิงอาเธอร์ที่ใช้ถ่ายทำละครหลายเรื่อง
ถ้ำป่า สำหรับสวดมนต์
จนถึงเวลากลับ พวกเราจึงขอพรจากพระครูบา และของดีของพระครูบา เพื่อกลับไปบูชา จากนั้นจึงมุ่งหน้าเดินทางกลับกรุงเทพฯ ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหารถติดในวันหยุดเทศกาล และการเดินทางในครั้งนี้พวกเรามีค่าใช้จ่ายสำหรับเชื้อเพลิงรถยนต์ จากระบบน้ำมันประมาณ 500 บาท และพลังงานจากก๊าซ LPG ไม่ถึง 3,000 บาท ถือว่าคุ้มค่าอย |