ท่องเที่ยวกัมพูชา นครวัด นครธม ปราสาทตาพรหม เสียมเรียบ ตลาดโรงเกลือ แบบชิว ๆ |
ในช่วงเวลาที่ประเทศไทย กับประเทศกัมพูชา มีปัญหาเรื่องพรมแดน ทำให้การท่องเที่ยวและการประกอบอาชีพแถวชายแดนไทยกัมพูชาไม่คึกคัก และไม่น่าท่องเที่ยวเท่าที่ควร จึงทำให้ดูเงียบเหงาไปถนัดตา แต่มีเพื่อนป้อมปี่คนหนึ่งเป็นคนไทยที่เกิดในจังหวัดสุรินทร์ ไปทำธุรกิจในเมืองเสียมเรียบประเทศกัมพูชา ชื่อพี่นพดล โทรมาคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบว่าเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนเขาสบายดี และเบอกว่าที่เมืองเสียมเรียบภายในประเทศกัมพูชาไม่มีอะไรสามารถเข้ามาเที่ยวได้เลย เพราะที่เมืองเสียมเรียบไม่มีอาชญากรรม ปลอดภัยแน่นอน เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวจริง ๆ เลยอยากให้พวกเราเดินทางมาเห็นด้วยตาตัวเอง ส่วนที่พักโรงแรมสะอาดแน่นอน นอนหลับสบายไม่ต้องกังวล ส่วนร้านอาหารก็มีมากมาย อาหารก็มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นไทย จีน เกาหลี และอาหารแถบยุโรป รับรองไม่แตกต่างจากบ้านเราเท่าไรนัก |
|
ป้อมปี่จึงโทรมาชวนผม ยูมิโกะ และแก้มป่อง ตอนแรก ๆ ก็ไม่มีใครกล้าตอบตกลงกับป้อมปี่ครับ เพราะมีคนรอบข้างห่วงเรื่องความปลอดภัย และฟังจากข่าวรายวันก็ยังไม่น่าไว้วางใจเท่าที่ควร แต่พี่นพดลรับรองว่าภายในประเทศไม่เหมือนกับแถบชายแดน ไม่ต้องกลัวให้ลองมาก่อนถ้ากลับไม่ได้ก็มาอยู่บ้านพี่นพดลซักเดือนก็ไม่มีปัญหา ผมเลยตอบตกลงแบบไม่เต็มใจว่า "ลองไปดูก็ได้สำหรับนักเดินทางอย่างเรา"
เราเตรียมเสื้อผ้าเพียงชุดเดียว เพราะก็ว่าไปค้างเพียงคืนเดียวก็เพียงพอแล้ว เพราะไปแค่เสียมเรียบเท่านั้น ส่วนเอกสารที่ลืมไม่ได้ก็คือพาสปอร์ต ส่วนวีซ่าไม่ต้องทำแล้ว เลยทำให้การเดินทางเที่ยวประเทศกัมพูชาสะดวกขึ้น |
|
พวกเราออกเดินทางจากกรุงเทพประมาณตี 4 พวกเราใช้เวลาเดินทาง จากกรุงเทพไปทาง อ.ฉะเชิงเทรา เลี้ยวขวาไปทาง อ.พนมสารคราม จากนั้นก็เลี้ยวไปทางเขาหินซ้อน มุ่งหน้าสู่ จ.สระแก้ว ขับตรงไปยัง อ.อรัญประเทศ ก็จะถึงตลาดโรงเกลือ ประมาณตอน 9 โมงเช้า ส่วนร้านอาหารในบริเวณตลาดโรงเกลือหาทานยากนิดหนึ่ง พวกเราเลยแวะหาอะไรทานในปั้มก่อนเข้าถึงตลาดโรงเกลือ |
|
|
ในการเดินทางครั้งนี้พวกเราได้รับความสะดวกสบายจาก บ.สไมล์ไทยอีโคทัวร์ จำกัด ในการเดินทางเข้าไปพร้อมกับคณะทัวร์ ที่มากับบริษัท พวกเรานำรถไปฝากที่จุดรับฝากรถ โดยมีเจ้าหน้าที่จากบริษัทรอบริการอยู่ที่หน้าด่านฝั่งไทยเจ้าหน้าที่เป็นคนไทยแนะนำให้พวกเรากรอกเอกสาร และเข้าไปต่อแถวยื่นพาสปอร์ตเองที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองไทยบ้านคลองลึก จากนั้นจะมีไกด์กัมพูชายืนรอหน้าด่านปอยเปต เมื่อเข้ามาแล้วไกด์ก็พาพวกเราไปยื่นเอกสารที่ฝั่งตรวจคนเข้าเมืองกัมพูชา หลังจากที่ได้สแตมป์พาสปอร์ตแล้ว ไกด์ก็พาคณะทัวร์รวมถึงพวกเราขึ้นรถเมล์ท้องถิ่นกัมพูชา ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที รถก็ไปส่งที่ท่ารถเมล์ประจำทาง เพื่อเปลี่ยนไปนั่งรถบัสทัวร์กัมพูชา เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเสียมเรียบ |
|
|
ระหว่างการเดินทาง ไกด์พูชาแนะนำตัวเอง จากนั้นก็ให้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับประเทศกัมพูชามากมาย ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ระหว่างอยู่บนรถทัวร์ ไกด์กัมพูชาเล่าให้ฟังว่าเขาอายุ 33 ปี แต่มีการทำสงครามมา 5 สมัย จึงทำให้ประเทศกัมพูชาไม่เจริญ เพราะมัวแต่สู้รบกันระหว่างประเทศ ทำให้การคมนาน การศึกษา อาชีพของชาวกัมพูที่มองเห็นสองข้างทาง ยังไม่เจริญเท่าที่ควร อาชีพชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม การเดินทางจากปอยเปตมาถึงเมืองเสียมเรียบก็พึ่งลาดยางถนนใหม่ ซึ่งเมื่อก่อนเป็นทางลูกรังการเดินทางไปมาไม่สะดวกใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงซึ่งระยะทางประมาณ 100 กว่ากิโลเมตรเอง แต่ปัจจุบันถนนได้ลาดยางแล้ว ทำให้ใช้เวลาในการเดินทางจากเมืองปอยเปต มายังเมืองเสียมเรียบใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเอง ไกด์ยังบอกอีกว่าสำหรับคนที่มาเล่นการพนันที่ด่านปอยเปตนั้นไม่ต้องใช้พาสปอร์ต ใช้แค่บอเดอร์พาสก็สามารถเข้ามาเล่นการพนันได้แล้ว (ไม่แนะนำครับ เพราะการพนันเป็นสิ่งที่ทำให้คนหมดตัวได้ง่าย ๆ ครับ) ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะเข้ามาเที่ยวในประเทศกัมพูชาปัจจุบันยกเลิกการทำวีซ่าแล้วครับ แค่ใช้พาสปอร์ตอย่างเดียวก็สามารถเข้าท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชาได้แล้ว |
|
|
|
พวกเราเดินทางมาถึงเมืองเสียมเรียบ ที่โรงแรมซิตี้อังกอร์ ตอนประมาณเกือบบ่ายโมง จากนั้นก็เข้าเช็คอินน์ พวกเรานำกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นไปบนห้องพัก ก็ประทับใจมากเพราะที่พักสะอาดมาก เครื่องอำนวยความสะดวกก็เพรียบพร้อม ห้องน้ำก็กว้างสะอาดพร้อมทุกอย่าง เตียงนอนก็สะอาดใหม่น่านอน เราใช้เวลาสั้น ๆ บนห้องพักในช่วงนี้ ส่วนคืนนี้คงนอนหลับสบาย |
|
หลังจากเก็บของไว้บนห้องพักแล้ว พวกเราก็ลงมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรมซิตี้อังกอร์ อาหารก็เป็นอาหารไทยครับ เพราะที่โรงแรมนี้สามารถเลือกอาหารได้ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหน มื้อกลางวันนี้มีซี่โครงหมูทอด ซุปปลา ปลาหมึกผัดผักรวม ผัดผักน้ำมันหอย ยำ ปลากระพงราดซอส และก็ผลไม้ รสชาติใช้ได้ครับ ใกล้เคียงกับฝีมือคนไทย มื้อนี้ก็อิ่มอร่อยไปหนึ่งมือ |
|
|
|
หลังจากอิ่มแล้วไกด์ก็แนะนำโปรแกรมการเดินทางสำหรับวันนี้ ได้แก่ เดินทางเที่ยวชมโตนเลสาบ และชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ปราสาทพนมบาเค็ง พวกเราใช้เวลาเดินทางประมาณโรงแรมอังกอร์ซิตี้ ประมาณ 45 นาที ก็ถึงท่าเรือโตนเล โตนเป็นภาษาเขมร หมายถึง แม่น้ำ สาบเป็นภาษาเขมร หมายถึง จืด โดยโตนเลสาบเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และไกด์ยังบอกอีกว่าเมื่อก่อนทุกตารางเมตรของโตนเลสาบ จะมีปลามากมายทุกตารางเมตร แค่พายเรือไปเฉย ๆ ปลาก็กระโดดขึ้นมาอยู่บนลำเรือ แต่ปัจจุบันไม่มีแล้วเพราะการเข้ามาหากิน และทำประมงของชาวเวียดนาม และชาวกัมพูชา มีแต่การจับไม่มีการอนุรักษ์ และรัฐบาลกัมพูชาไม่ได้เข้ามาดูแลเท่าที่ควร จึงทำให้ปลาในโตนเลสาบหมดไปอย่างรวดเร็ว |
|
|
|
|
เมื่อลงจากรถเจ้าหน้าที่ก็แจกตั๋วขึ้นเรือ โดยต้องเดินลงไปบริเวณท่าจอดเรือ ไกด์บอกว่าท่าเรือโตนเลได้ทำการขุดขยายร่องน้ำใหม่ มิฉะนั้นน้ำจากโตนเลสาบก็จะมาไม่ถึงเรือก็จะแล่นไม่ได้เพราะน้ำจะตื้นมาก เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นช่วงฤดูร้อนน้ำจึงน้อย ระหว่างการร่องเรือพวกเราก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศสองฝั่งคลอง ก็เป็นวิถีชีวิตของชาวกัมพูชา และชาวเวียดนาม แต่ที่สังเกตุได้ว่านักท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชาเยอะมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี นักท่องเที่ยวชาวจีน ส่วนนักท่องเที่ยวฝั่งยุโรปก็มีไม่ใช่น้อย ไกด์บอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอันตราย เพราะทางกัมพูชาไม่อยากทำให้เสียชื่อเมืองท่องเที่ยว ไกด์ยังบอกอีกว่าช่วงนี้เป็นช่วงหน้าโลซีซั่น ถ้าเป็นช่วงไฮซีซั่น เรือต้องรอคิวนาน คนจะแน่นมาก (ผมว่าช่วงโลซีซั่นของเขาคนยังเยอะพอ ๆ กับไฮซีซั่นแถวบ้านเรา) เรือล่องมาเข้าใกล้กับโตนเลสาบ ก็มีเรือของชาวเวียดนามมาตีคู่ มีเด็กเอางูมาแสดง บ้างก็เอาเรือมาเทียบแล้วก็กระโดดขึ้นเรือมาขายน้ำอัดลมกระป๋อง แปลกดีครับ |
|
จนเรือวิ่งมาถึงแพที่จะขึ้น ปรากฏว่ามีเด็กเวียดนามมากมายมารออยู่ประมาณ 10 กว่าคน รวมถึงผู้ใหญ่บางคนที่พาลูกมานอนในเรือ เพื่อขอเงิน หรือขนม ไกด์แนะนำว่าไม่ต้องให้หรอกหากให้เด็กจะมารุมขอมากขึ้น และหากมีเด็กมาขอเยอะขึ้นเท่าไร ก็จะเป็นการสร้างผลกระทบในทางลบต่อภาพพจน์ของการท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชา ไกด์พาลงแพที่มองดูว่าเป็นร้านค้าขนาดใหญ่ มีทั้งของที่ระลึก อาหาร จำหน่าย มีบ่อจระเข้ บ่อปลาเลี้ยงอยู่บนแพ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวชมโตนเลสาบบนแพตนเอง ส่วนชั้นสองของแพนี้ก็สามารถขึ้นไปชมวิวโตนเลสาบจนสุดลูกหูลูกตา จนลับขอบฟ้าเหมือนกับทะเลดีดีเลยครับ ด้านบนแพยังมองเห็นแพชาวเวียดนาม และแพชาวกัมพูชา ที่ตั้งอยู่บนโตนเลสาบเป็นหย่อม ๆ โดยประชาชนที่อาศัยอยู่บนแพส่วนมากก็ประกอบอาชีพประมง รองลงมาก็จะเป็นการค้าขาย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชมโตนเลสาบ |
|
|
พวกเราใช้เวลาอยู่ในโตนเลสาบประมาณ 2 ชั่วโมงก็ต้องเดินทางกลับไปขึ้นรถที่ท่าเรือต่อ เพื่อเดินทางไปชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ปราสาทพนมบาเค็ง ซึ่งตั้งอยู่บนบนภูเขา ไกด์พาพวกเรามุ่งหน้าไปยังจุดบริการนักท่องเที่ยวที่จะเข้าชมนครวัดนครธมก่อน เนื่องจากคนที่จะเข้ามาเที่ยวนครวัดนครธมต้องมาต่อคิวถ่ายภาพ เพื่อทำบัตรเข้าชมก่อนในวันนี้ก่อน พรุ่งนี้ถึงจะเข้าชมนครวัดนครธมได้ |
|
ไกด์ก็พาพวกเราขึ้นรถทัวร์ เพื่อเข้าไปชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าบนปราสาทพนมบาเค็ง ที่ซึ่งไปทางเดียวกับเส้นทางที่จะไปนครวัด รถวิ่งมาณ 10 นาที ก็มาถึง ตีนเขา พวกเราต้องลงจากรถทัวร์และต้องเดินเท้าขึ้นไปบนยอดเขาอีกประมาณ 45 นาที ก็ถึงยอดเขา ซึ่งด้านบนเป็นปราสาทเก่าแก่ ทางขึ้นปราสาทนั้นค่อนข้างชัน สูง และมีหลายขั้น ไม่สามารถขึ้นไปเร็วได้ แต่เมื่อมองขึ้นไปยังบนปราสาทพวกเราก็เห็นนักท่องเที่ยวเต็มไปหมดรอชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า พวกเราขึ้นไปด้านบนแต่ไม่ทันกับพระอาทิตย์ตก แต่ก็ได้บรรยากาศอันครึกครื้น เพราะนักท่องเที่ยวต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน และถ่ายภาพวิวบนตัวปราสาทแถบทุกจุดบนตัวปราสาท พวกเรานั่งชมธรรมชาติป่าเขา ด้านบนปราสาทซักพักก็เดินทางลงจากตัวปราสาท เพราะทางเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ให้ค้างคืน หรืออยู่เกิน 6 โมงเย็น |
|
หลังจากขึ้นรถ ไกด์ก็พาคณะไปทานอาหารเย็นต่อที่ร้านอาหาร โตนเลแม่โขง เพื่อทานอาหารเย็น รวมทั้งชมการแสดงศิลปะพื้นบ้านของชาวกัมพูชา อาหารที่พวกเราทานมีอยู่หลายอย่าง อาทิอาหารไทย อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี อาหารของคนอิสลาม และอาหารของนักท่องเที่ยวฝั่งยุโรป อาหารก็เป็นแบบบุฟเฟ่ ตักเสร็จก็ไปนั่งทานอาหารใกล้ ๆ บนเวที พวกเราเพลิดเพลินกับการกิน และชมการแสดงพักใหญ่ จนพุงกาง ไกด์ก็พาขึ้นรถแวะไปเที่ยวถนนคนเดินในเมืองเสียมเรียบ และถนนข้าวเหนียว ก่อนเข้าโรงแรม ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมอังกอร์ซิตี้ประมาณ 3 กิโลเมตร |
|
|
ถนนคนเดินเสียมเรียบ และถนนข้าวเหนียว ไม่แตกต่างจากถนนคนเดินในประเทศไทยครับ มีของกิน ของใช้ ของฝาก ของที่ระลึกของชาวกัมพูชา เสื้อผ้า ร้านอาหาร พกวเราเดินซื้อของฝากได้เป็นพวกกุญแจ และกรรไกรตัดเล็บที่มีโลโก้ของนครวัดนครธม ในราคาแพ็คละ 100 บาท หนึ่งแพ็คจะมีสินค้าอยู่ 6 ชิ้นด้วยกัน พวกเราใช้เวลาเดินทางเที่ยวชมไม่นาน ก็เดินทางกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมซิตี้อังกอร์ |
|
รุ่งเช้าพวกเรานัดเจอกันที่ห้องอาหารของโรงแรมซิตี้อังกอร์ตอน 7 โมงเช้า และจะเดินทางพร้อมคณะทัวร์เวลา 08.00 น. เพื่อเข้าไปเทียวชมนครวัดนครธม ปราสาทบายน ปราสาทตาพรมในช่วงเช้า หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว ไกด์ก็มารอรับคณะทัวร์ตามเวลา พวกเราขึ้นรถทัวร์พร้อมกับคณะทัวร์ จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังจุดบริการเข้าชมนครวัดนครธม เจ้าหน้าที่ทำการตรวจบัตรนักท่องเที่ยวทุกคนแล้ว ก็อนุญาตให้รถเข้าไปเที่ยวยังนครวัดเป็นจุดแรกก่อน |
|
นครวัด สร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในรัชสมัย พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ซึ่งครองราชย์อยู่ในช่วง พ.ศ. 1650-1693 ซึ่งขณะนั้นศาสนาพราหมณ์ นิกายไวษณพนิกาย นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่ อยู่ในช่วงรุ่งเรืองอยู่ในอาณาจักรขอม
พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 จึงโปรดให้สร้างนครวัด เพื่อบูชาพระวิษณุ และนอกจากนั้นแล้ว ก็เพื่อให้เป็นที่ เก็บพระศพของพระองค์ เมื่อยามสิ้นพระชนม์แล้วด้วย ดังนั้น นครวัดจึงแตกต่างกับปราสาทอื่นๆ ตรงที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศของผู้ตายแทนทิศตะวันออก พวกเราเดินชมภายในตัวนครวัดแล้วรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต และคิดว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนชาวบ้านทั่วไปคงเข้าเดินออกไม่ได้ ช่วงที่พวกเราเดินเที่ยวชมปราสาทนครวัดอากาศค่อนข้างร้อนแนะนำว่าให้ติดร่มหรือหมวกไปด้วย เพราะช่วงเที่ยงจะร้อนมากกว่านี้ พวกเราเดินเที่ยวชมประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็เดินทางต่อไปยังนครธม |
|
|
นครธม เป็นมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของนครวัด ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมายนับแต่สมัยแรกๆ และที่สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และรัชทายาท ใจกลางพระนครเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมัน เรียกว่า ปราสาทบายน และมีพื้นที่สำคัญอื่นๆ รายล้อมพื้นที่ชัยภูมิถัดไปทางเหนือ
ทางเข้าด้านใต้ ที่มีลักษณะเป็นหน้า 4 หน้า ก่อนจะเข้าสู่บริเวณนี้ จะเป็นแถวของยักษ์ (อสูร) ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่สองข้างสะพาน นครธมมีพื้นที่กว้างมากจนไกด์บอกว่าจะพาเที่ยวชมปราสาทบายนเท่านั้น ใช้เวลาเดินเที่ยวชมประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินทางต่อ เพราะถ้าเดินเที่ยวนครธมทั้งหมดวันหนึ่งก็ไม่พอ จากนั้นไกด์ก็พาไปเที่ยวในช่วงเช้าต่อที่ปราสาทตาพรหม |
|
|
|
ปราสาทตาพรหม สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1729 เป็นปราสาทหินในยุคท้าย ๆ ของอาณาจักรเขมร ลักษณะเด่นของปราสาทตาพรหม คือมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นคลุมตัวปราสาทเป็นจำนวนมาก บางต้นก็ช่วยยึกตัวปราสาทได้ดี บางต้นก็ทำให้ตัวปราสาทพังลงมา แต่ปัจจุบันทางกัมพูชาได้ทำการบูรณะบางส่วนไว้บ้างแล้ว พวกเราเดินชมศิลปะที่ธรรมชาติสร้างขึ้นบวกกับสิ่งที่มนุษย์เคยสร้างขึ้น พวกเราประทับใจการการเดินทางมาชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในทริปนี้ครับ เพราะถือว่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ติดกับประเทศไทย เดินทางไม่ไกลมากนัก เส้นทางการเดินทางมาก็สะดวกมากขึ้นแล้ว พวกเรา หวังว่าคงมีข้อสรุปที่ดีเรื่องชายแดนไทยกัมพูชาแล้ว อะไร ๆ ก็คงจะดีขึ้น |
|
|
ช่วงเที่ยงพวกเราไปทานอาหารที่ร้านอาหารโตนเลสาบ อาหารก็มีมากมายหลายประเภทเช่นกันครับ ไทย จีน เกาหลี และอาหารแถบยุโรป รสชาติอาหารดีครับ ไม่เพี้ยนจากบ้านเราเท่าไรครับ อร่อยดี พวกเราใช้เวลาทานอาหาร 1 ชั่วโมงก็ออกเดินทางต่อ แต่ว่าบ่ายนี้ไม่ได้ไปเที่ยวต่อกับคณะทัวร์ครับ ซึ่งคณะทัวร์จะเดินทางไปชมปราสาทพนมปุเรน และชมศิวลึงค์ในสายน้ำพนมปุเรน ส่วนพวกเราจะแวะไปเที่ยวบ้านของพี่นพดล คนที่เชิญชวนพวกเราให้มาเที่ยวที่เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา |
|
|
หลังจากที่ได้พูดคุย และใช้เวลาในการพบปะกับพี่นพดล จนถึงเวลาประมาณ 3 โมงเย็น พวกเราก็กลับไปขึ้นรถเดินทางกลับพร้อมคณะทัวร์ โดยใช้เวลาถึงด่านประมาณ 5 โมงเย็น ก็ร่ำลาไกด์กัมพูชา ก่อนจะยื่นเรื่องที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองกัมพูชา และด่านตรวจคนเข้าเมืองไทย ก่อนกลับก็แวะซื้อของฝากคนทางบ้านที่ตลาดโรงเกลือก่อนเดินทางถึงบ้านด้วยความประทับใจ เอาไว้พบกันใหม่ครับ
ทีมงาน annaontour.com |