อันแน่ออนทัวร์ และเพื่อนเขมร หลังจากได้พักผ่อนและเที่ยวในเมืองตาแก้วแล้ว ก็ออกเดินทางต่อมุ่งหน้าไปยังจังหวัดแกบ ระหว่างเดินทางมาถึงสามแยกที่บ้านสลองซึ่งเป็นบริเวณสามแยกไปทางจังหวัดกัมปอด และจังหวัดแกบได้นั้น ก็สังเกตเห็นสามแยกแห่งนี้ว่าน่าจะมีอะไรน่าสนใจ เลยแวะซะหน่อยนึงก็แล้วกัน ที่นี่เป็นตลาดเล็ก ๆ มีร้านค้า และบ้านหลังเล็ก ๆ ริมถนนหลายหลัง สามยแยกนี้ยังเป็นจุดที่มีรถโดยสารแวะจอดรับผู้โดยสารและผู้โดยสารจะขึ้นลงรถ ณ บริเวณสามแยกนี้เป็นส่วนใหญ่ ที่สามยแยกสลองยังมีร้านค้ามากมาย แต่บรรยากาศยังแบบเดิม ๆ คนไม่พลุกพล่าน บ้านเรือนชาวบ้านบางหลังถูกดัดแปลงมาเป็นร้านค้า ผมเดินเที่ยวและมองไปรอบ ๆ ที่นี่ก็คิดว่าที่นี่น่าจะเป็นสามแยกตลาดซะลองด้วยซ้ำ และก็จริงด้วยที่นี่คือตลาดสลองหลังจากที่ได้คุยกับแม่ค้าร้านขนมหวานร้านหนึ่งที่สามแยกสลองแห่งนี้ จากนั้นผมก็เลยขอใช้บริการร้านขายขนมหวานร้านนี้ซะเลย เจ้าของร้านเป็นคุณป้าอายุประมาณ 50 กว่า ๆ ขายขนมอยู่หน้าบ้านตัวเองซึ่งหน้าร้านก็มีร่มไม้น่านั่งอยู่ ผมก็เลยขอใช้บริการเลย เพราะอยากจะหลบแดดซักพักก่อนเดินทางต่อ ผมเข้าไปดูขนมหวานร้านคุณป้าโดยที่ยังไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง แต่พอเห็นหน้าตาขนมร้านคุณป้าก็เดาได้ไม่ยากเลยว่ามีอะไรบ้าง เพราะหน้าตาขนมหวานกัมพูชาเหมือนกับขนมหวานประเทศไทยเรา ก็มีบัวลอยแต่ไม่เห็นมีไข่เลย มีวุ้นกะทิแต่มีสีเขียว ๆ ใส ๆ และก็มีเฉาก๊วยด้วย ผมเลยอยากจะลองกินดูว่ามีรสชาติเหมือนกับประเทศไทยบ้านเราหรือปล่าว |
คุณยายร้านขนมหวานตลาดสลอง |
เตรียมตัวซัดบัวลอยหน้าร้านขายขนมหวานติดถนนเลย |
บรรยากาศแบบนี้ ผมหากินในกรุงเทพไม่มีแล้วอะ |
เพื่อนเขมรผมสั่งวุ้นกะทิมากิน ผมก็อยากรู้ว่ารสชาติเป็นแบบไหน และทำมาจากอะไรบ้าง เลยให้เพื่อเขมรถามคุณป้าว่าทำมาจากอะไร หลังจากที่ถามแล้วได้ความว่า มันเป็นพืชที่เป็นเถาตามต้นไม้ผมไม่แน่ใจว่าเถาอะไร จากนั้นนำมาทุบให้ละเอียดแล้วคั้นเอาน้ำมาทำวุ้น สรรพคุณของขนมนี้ก็คือกินแก้ร้อนใน ส่วนการทำวุ้นนั้นเขาจะเอาวุ้นไปแช่ในน้ำที่มีน้ำแข็งเย็น ๆ เพื่อให้วุ้นจับตัวเป็นก้อน เวลาทำเป็นวุ้นเสร็จเขาจะตักเอาเฉพาะวุ้น แล้วใส่น้ำเชื่อม ราดน้ำกะทิเข้าไปก็กินได้แล้ว โดยวุ้นกัมพูชานี้ชนิดนี้เขาเรียกว่า ตะกรอง ส่วนรสชาติจะหวานไม่มาก และมีรสชาติมัน ๆ ของน้ำกะทิ ส่วนวุ้นก็นิ่ม ๆ มีกลิ่นหอม ๆ บอกไม่ถูก หอมเหมือนหอมกลิ่นใบไม้เลย เขาเห็นผมชิมของดาเขาตักมาให้ผมอีกถ้วยซะงั้น แต่ผมอยากจะลองกินบัวลอยตอนกลางวันมากกว่า |
วุ้นกัมพูชาใส ๆ เขียว ๆ ทำมาจากวัชพืชปลอดสารพิษ มีน้ำแข็งแช่ในวุ้นเพื่อให้จับเป็นก้อน |
กำลังตักวุ้นใส่ตะแกรงเพื่อเอาน้ำออกมาไปใส่กับน้ำเชื่อม น้ำกะทิ |
วุ้นถ้วนนี้พร้อมกินได้แล้วส่วนรสชาติหอม ๆ กลิ่นใบไม้หวานมันนิด ๆ อร่อยดี |
|
ผมสั่งบัวลอยอีกถ้วยหนึ่งอยากจะรู้ว่าหน้าตาของบัวลอยกัมพูชาที่ดูคล้าย ๆ กับบัวลอยไทย จะเป็นขนมที่มีรสชาติเหมือนกันไหม ต้องลองดูผมชิม ชื่อของขนมบัวลอยนั้น ภาษากัมพูชาเขาเรียก มันจะเนอะ ซึ่งหมายถึงชื่อขนมบัวลอย ผมเรียกขนมบัวลอยเขาก็ไม่รู้จัก ส่วนแป้งที่เขามาปั้นขนมบัวลอยมันจะดูใหญ่กว่าขนมบัวลอยบ้านเรา ก่อนกินต้องใส่งาด้วย ตอนแรกผมก็งงเห็นเขาหาถุงอะไรที่ไหนได้ถุงงาด้วย งา ภาษากัมพูชาเรียก งอ จากนั้นก็พร้อมเสริฟแล้ว ผมถามป้าว่าลูกใหญ่ ๆ สีขุ่น ๆ นี้เป็นไข่หรือว่าอะไร ป้าแกบอกว่าไส้ถั่วเขียว ผมก็เริ่มสงสัยถ้าไม่ชิมก็จะยังไม่เข้าใจเลยลองชิมเลย พอเอาช้อนสับแป้งเข้าไปเห็นเป็นไส้ถั่วเหลืองเวลากินมันจะหอม ๆ เหมือนได้กลิ่นต้นหอม แต่มีรสชาติแป้งหนักกว่าถั่วเหลือง จากนั้นผมก็เริ่มกินบัวลอยลูกที่สองที่มีลักษณะใหญ่ ๆ แต่มีสีใส ๆ กว่า พอกินเข้าไปก็รู้สึกได้เลยว่ามันคือสาคูยักษ์นี่เอง แต่ว่ามีไส้เป็นถั่วเหลือง รสชาติแปลก ๆ ดีแฮะ จากนั้นก็เริ่มมากินบัวลอยลูกเล็ก ๆ ส่วนรสชาติแป้งของบัวลอยลูกเล็ก ๆ เหมือนบัวลอยประเทศไทยเราเลย |
บัวลอยกะละมังใหญ่ แถมลูกใหญ่ไม่มีไข่ด้วย |
บัวลอย 1 ถ้วย อยู่ที่ราคา มวยปอน หรือราคา 10 บาท |
บัวลอยลูกใหญ่เป็นไส้ถั่วเหลือง |
|
ส่วนบรรยากาศการกินก็อย่างที่เห็น ผู้คนในตลาดสลองแวะไปวนมาเยอะแยะ ดูแล้วไม่น่าเบื่อ รู้สึกว่ามีชีวิตชีวาแต่ไม่เงียบเหงา ซักพักผมก็เห็นรถม้าที่เขาใช้เป็นพาหนะในการขนส่ง ผมบอกได้เลยว่าที่กัมพูชาก็ยังมีกลิ่นไอของความดั้งเดิมอยู่มากกว่าประเทศไทย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ใช้พาหนะเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวส่วนใหญ่มากกว่า แต่กัมพูชาเขายังใช้ม้าเพราะเขาคงไม่มีเงินขนาดมากซื้อรถสำหรับเป็นพาหนะ และคงเสียดายค่าน้ำมัน เพราะม้าน่าจะกินหญ้าและก็คงหากินไม่ยากในกัมพูชา เอาเป็นว่าตรงนี้เป็นจุดที่ผมกำลังจะเข้าสู่จังหวัดกัมปอดแล้ว ก็ลองติดตามได้ในจังหวัดกัมปอด เข้าจังหวัดแกบ และเข้าสู่จังหวัดสีหนุวิลต่อได้ครับ |
|